'กลุ่มมิตรผล' พัฒนาพลังงานหมุนเวียนจากภาคเกษตรไทย สร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
เปิดแนวคิด "กลุ่มมิตรผล" ลุยพัฒนาพลังงานหมุนเวียนจากผลผลิตภาคเกษตร สร้างโอกาสให้กับประเทศไทย หนุนการเติบโตให้เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050
"กลุ่มมิตรผล" เป็นองค์กรที่อยู่ในภาคเกษตรอุตสาหกรรมของไทยมานานกว่า 67 ปี โดยเริ่มต้นจากธุรกิจผลิตน้ำตาล พัฒนาสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานทดแทน ธุรกิจวัสดุทดแทนไม้ และธุรกิจไบโอเบส "ร่วมอยู่ ร่วมเจริญ" คือปรัชญาหลักที่กลุ่มมิตรผลยึดมั่นในการดำเนินงานมาโดยตลอด
ตั้งแต่ก้าวแรกของการทำธุรกิจที่ตั้งใจสร้างการเติบโตเคียงข้างทุกภาคส่วน อีกทั้ง ได้เล็งเห็นถึงความพร้อมและโอกาสของประเทศไทยในการสร้างพลังงานทดแทนที่ยั่งยืน เนื่องด้วยประเทศไทยมีภูมิศาสตร์และความสามารถที่เอื้อต่อการทำอุตสาหกรรมเกษตร ซึ่งสอดคล้องกับจุดยืนของกลุ่มมิตรผลที่มองว่าภาคเกษตรคือหนึ่งกำลังสำคัญในการสร้างการพัฒนาอย่างมั่นคงให้กับประเทศ
จากการต่อยอดสู่การผลิตพลังงานและผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมการผลิตและผู้บริโภคที่เริ่มมองหาผลิตภัณฑ์จากวัสดุชีวภาพ (Bio-based) มาทดแทนการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฐานจากปิโตรเลียม (Petroleum-based) ที่จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ กลุ่มมิตรผล จึงมุ่งมั่นพัฒนาภาคเกษตรไทยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนา พลังงานหมุนเวียน จากภาคเกษตรด้วยแนวคิด เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไร้ค่าให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า (From Waste to Value Creation) มานานกว่า 20 ปี โดยเริ่มจากการผลิตไฟฟ้าชีวมวลด้วยชานอ้อยที่เหลือจากโรงงานน้ำตาล
อีกทั้ง ยังได้พัฒนาความรู้และเทคโนโลยีการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำวัสดุเหลือใช้จากภาคเกษตรอื่นๆ เช่น ใบอ้อยมาใช้เป็นเชื้อเพลิงเสริม ซึ่งช่วยส่งเสริมการตัดอ้อยสดของเกษตรกรในฤดูเก็บเกี่ยว เป็นการเพิ่มรายได้ให้กลุ่มเกษตรกร เพิ่มความมั่นคงของเชื้อเพลิงชีวมวล และลดปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยที่ผ่านมา กลุ่มมิตรผล ได้รับซื้อใบอ้อยเป็นจำนวนรวมแล้วกว่า 1.7 ล้านตัน สามารถสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกรกว่า 2.5 พันล้านบาท
นอกจากนี้ กลุ่มมิตรผลยังได้เข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program : T-VER) จำนวน 10 โครงการ ทำให้มีคาร์บอนเครดิตสะสมกว่า 900,000 ตันคาร์บอนฯ ต่อปี และยังได้รับการรับรองสิทธิในการเป็นผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificates : RECs) ซึ่งเป็นหนึ่งกลไกที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการปรับตัวเพื่อพัฒนาการผลิตและการใช้ไฟฟ้าจาก พลังงานหมุนเวียน ในประเทศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมได้มากขึ้น
ด้านธุรกิจเอทานอล กลุ่มมิตรผลได้นำกากน้ำตาลหรือโมลาส ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาล รวมถึงน้ำอ้อยมาเพิ่มมูลค่าด้วยการผลิตเป็นเอทานอลหลากหลายเกรด เพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่างกัน อาทิ ใช้เป็นส่วนผสมสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ใช้ในรถยนต์ เอทานอลสำหรับอุตสาหกรรม
รวมถึงเอทานอลสำหรับเภสัชกรรม และเอทานอลเกรดสำหรับอุตสาหกรรม BCG อย่างการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับอากาศยาน (SAF) และอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ ซึ่งจะช่วยลดการใช้ปิโตรเลียมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ศักยภาพของการพัฒนา พลังงานหมุนเวียน จากภาคเกษตรไทย ถือเป็นแนวคิดการพัฒนาที่ใช้ทรัพยากรและวัสดุเหลือใช้จากภาคเกษตรมาต่อยอดอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งระบบ ตั้งแต่เกษตรกรต้นทางที่จะมีรายได้ที่มั่นคงและคุณภาพชีวิตที่ดีจากอาชีพเกษตรกรรม
ในขณะที่โรงงานไฟฟ้าชีวมวล หรือโรงงานเอทานอล ก็สามารถผลิตพลังงานหมุนเวียน เชื้อเพลิงชีวภาพ และวัตถุดิบชีวภาพต่างๆ เพื่อสนับสนุนความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมชีวภาพ เพื่อสร้างไลฟ์สไตล์ใหม่ให้สังคมคาร์บอนต่ำ ตลอดจนสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทย
ผลลัพธ์จากความมุ่งมั่นยกระดับการพัฒนาที่ยั่งยืนควบคู่กับการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้กลุ่มมิตรผลก้าวสู่การเป็นองค์กรด้านความยั่งยืน ในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร โดยมีคะแนนสูงสุดในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม จากผลการประเมินด้านความยั่งยืน S&P Global Corporate Sustainability Assessment (CSA) Score 2023 ซึ่งมีกว่า 9,400 บริษัททั่วโลกเข้ารับการประเมินใน 62 อุตสาหกรรม และยังได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในรายงานความยั่งยืน "The Sustainability Yearbook Member 2024" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 อีกด้วย
สำหรับแนวทางการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนจากภาคเกษตรดังกล่าว นับเป็นหนึ่งในการดำเนินงานสำคัญภายใต้กลยุทธ์การสร้างความยั่งยืนของ กลุ่มมิตรผล "Mitr Phol Triple Grows : Grow for Generation, Grow for Green, Grow Together" ด้วยเป้าหมายที่จะสร้างและส่งต่อความยั่งยืน จากภาคเกษตรไทยสู่สังคมและสิ่งแวดล้อมให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคง