จากความกลัวสู่คำถาม...เปิดใจ 'ฟาโรห์’ ผู้ทวงความเป็นธรรมให้ ‘ซีอุย’
ถึงเวลาคืนศักดิ์ศรีให้กับชายผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นมนุษย์กินคน ไม่ควรมีใครถูกจองจำกับตราบาปทั้งที่ได้รับโทษสูงสุดไปแล้ว
กลับมาอยู่ในความสนใจของคนในสังคมอีกครั้ง สำหรับ 'ซีอุย มนุษย์กินคน’ เมื่อมีผู้รณรงค์เสนอแคมเปญล่ารายชื่อในเว็บไซด์ Change.org ในหัวข้อ “นำร่าง ซีอุย แซ่อึ้ง ออกจากพิพิธภัณฑ์ศิริราช คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ล้างฉายามนุษย์กินคน”
ที่น่าสนใจก็คือ เขาคนนั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับซีอุย รับรู้เพียงเรื่องเล่าข่าวลือ แต่ ฟาโรห์ จักรภัทรานน ก็มุ่งมั่นที่จะทวงคืนความเป็นธรรมให้กับชายชาวจีนที่เสียชีวิตไปเมื่อ 60 ปีที่แล้ว
ฟาโรห์ ตั้งหัวข้อรณรงค์แคมเปญนี้ตอนที่เขายังเป็นนักศึกษาชั้นปี 4 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันแม้จะทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ อะโบทอะบาร์ โรงแรมวีลเลอร์ บางแสน แต่ความพยายามก็ยังไม่ลดละ เขายังคงนำเสนอข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง อะไรคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง...
อย่าดื้อนะ เดี๋ยว ‘ซีอุย’ กินตับ
เด็กๆ หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ ‘ซีอุย’ พร้อมคำขู่ในลักษณะนี้ ฟาโรห์ก็เช่นกัน
“ตั้งแต่เด็กๆ หลายๆ คน ทั้งยุคผม ยุคก่อนหน้าผม จะได้รับคำขู่มาจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองว่า อย่าดื้อนะ อย่าร้องไห้นะ อย่าไปไหนคนเดียวนะ เดี๋ยวซีอุยจับไปกินตับ เราก็มีความกลัว แต่สงสัยมากกว่าว่า ซีอุยเป็นใคร ทำไมต้องกินตับ พอโตขึ้นได้รับข่าวสารของซีอุยผ่านทางหนังสือ ผ่านทางภาพยนตร์ ก็รู้ว่าเขาเป็นมนุษย์กินคน เขาฆ่าเด็กแล้วเอาตับกับหัวใจไปกิน เราเข้าใจว่าเขาฆ่าเด็กไปถึง 7 คน โดนจับ สุดท้ายก็ประหารชีวิต แล้วศพก็ถูกเอาไปเก็บไว้ที่ศิริราช”
ครั้งแรกตอนอายุ 10 ขวบกว่าๆ ผมได้ไปดูซีอุยที่ศิริราช ไปกับผู้ปกครอง จำไม่ได้แล้วว่าใครพาไป ตอนนั้นอยู่ชั้นประถม ผมเป็นคนอุดร เกิดที่อุดร เรียนจบชั้นมัธยมที่โรงเรียนพิทยานุกูลแล้วก็มาเรียนต่อคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครั้งแรกที่ไปดู ดูด้วยสายตา ไม่ใช่ลักษณะโกรธแค้น เกลียดชัง หรือกลัว แต่เป็นลักษณะ อ๋อ มนุษย์กินคน ชื่อก็บอก เขียนไว้ หนังสือ Audio Book ที่เราใส่หูฟังเดินตามพิพิธภัณฑ์ในศิริราชก็เล่าเรื่องราวว่าเขาคือ มนุษย์กินคน”
‘ซีอุย’ ไม่ใช่มนุษย์กินคน
หลังจากได้ดูรายการ ‘บางอ้อ’ ทางไทยพีบีเอส เมื่อสิบปีก่อน กระตุกความคิดกระตุ้นความสนใจให้ฟาโรห์กลับมาหาข้อมูลเรื่องนี้อีกครั้งในประเด็นใหม่
"สิ่งที่เราได้เห็นได้ฟังทำให้เรารู้สึกตกใจว่ามันมีข้อมูลอีกด้านหนึ่งว่า สิ่งที่เราเคยได้ยินได้ฟังมาตลอดช่วงวัยเด็กอาจจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ในรายการเขามีข้อมูลค่อนข้างละเอียด ทั้งเรื่อง ทั้งบทสัมภาษณ์ของเหยื่อบางราย บางคนเป็นพ่อเป็นแม่ของเหยื่อกลับบอกว่า ซีอุยไม่ได้ทำ ผมก็เลยรู้สึกว่ามันน่าสงสัย
ทำให้ไปศึกษาเพิ่ม มีหลายเคสคดีเหมือนกันที่ข้อเท็จจริงขัดแย้งกับคำรับสารภาพของซีอุย เช่น บางคดีบอกว่าเด็กถูกตัดเอาตับกับหัวใจออกไป แต่พอไปดูสำนวนการสืบสวนสอบสวนปรากฏว่าตับกับหัวใจยังอยู่กับร่างของเด็กคนนั้น หรือบางกรณีจับผู้ร้ายตัวจริงได้แล้ว แต่ซีอุยกลับยอมรับสารภาพ มันเลยเป็นเรื่องที่แปลก ในคดีสุดท้ายก็มีหลักฐานที่แน่นหนาพอสมควร เราเก็บความรู้สึก เก็บข้อมูลนี้ไว้ แต่ไม่ได้ทำอะไร
จนเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว รายการความจริงไม่ตาย ทางไทยพีบีเอส นำเสนอเรื่องซีอุยในชื่อว่า ปลดพันธนาการซีอุย ผมกำลังทำช่องยูทูบชาเนล ช่องคอมมอนเซนส์ เล่าเรื่องคดีปริศนาต่างๆ ก็เลยสนใจ เขาคิดเหมือนเราเลย เข้าใจว่าหลังรายการนี้ออกไป เขาน่าจะเอาซีอุยออกจากตู้โชว์ได้หรือลบล้างชื่อมนุษย์กินคน หลังจากรู้ข้อมูลอีกด้าน เขาเป็นสื่อใหญ่น่าจะสร้างอิมแพคได้มากกว่าเรา แต่พอรายการออนแอร์ผ่านไปแล้ว ไม่มีมูฟเมนท์อะไรต่อ ผมก็...อ้าว ไม่ต่างจากรายการอื่น สื่ออื่นๆ ที่ผ่านมา ที่นำเสนอประเด็นนี้ เป็นแค่ด็อคคิวเมนทารีเล่าเรื่องออกมา
คืนศักดิ์ศรีให้ ‘ซีอุย’
ในที่สุดฟาโรห์ก็ได้กลับไปดูซีอุยอีกครั้ง ในช่วงที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
"เราไม่ได้มองเขาด้วยสายตาแบบเดิม ไม่ได้มองเขาเป็นมนุษย์กินคนแบบตอนเด็ก เรามองเขาด้วยสายตาว่าเขาคือเหยื่อของการเหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ พอเรารู้ข้อมูลอีกด้าน เราก็มองเขาในความรู้สึกที่ไม่เป็นธรรม มันเป็นการกระทำที่เกินเลยไปหน่อย สิ่งสิ่งนี้ที่อยู่ตรงหน้าเรามันเป็นความไม่เป็นธรรม มันกำลังเกิดขึ้นอยู่นะ หรือวินาทีที่เราคุยกันอยู่นี้ ศพของซีอุยก็ยังตั้งอยู่ที่นั่น แม้ว่าตอนนี้ศิริราชได้เอาเทปไปแปะตรงคำว่า ‘มนุษย์กินคน’ แล้ว ทำให้ผมรู้สึกว่า โอเค...งั้นผมทำเอง
เหตุผลที่ต้องจริงจังเพราะผมเห็นว่าบ้านเราทุกวันนี้การเคารพเรื่องสิทธิศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มันยังต้องพัฒนาอีกเยอะ มีอีกหลายๆ แง่มากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอุ้มหายในคดีการเมือง หรือการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของโรฮิงญา แต่ละเรื่องมีคนทำแล้ว แต่เรื่องซีอุยไม่มีใครแคร์ ถ้าเราเป็นคนทำตรงนี้ สังคมก็จะเริ่มถกเถียงเรื่องความเป็นมนุษย์อย่างที่กำลังถกเถียงกันอยู่ในทุกวันนี้ จึงเกิดเป็นกระแสขึ้นมาว่า กรณีที่เขาผิดจริง โทษประหารเพียงพอหรือยังกับผลที่เขาได้ก่อขึ้น แล้วการเอาร่างมาประจาน เท่าที่ผมอ่านมาไม่เคยเจอในกฎหมายฉบับไหนที่ประหารเสร็จแล้วต้องเอาร่างมาแขวนไว้แบบนั้น
สมัยก่อนมีความเชื่อว่าฆาตกรหรืออาชญากรจะมีลักษณะกายภาพที่แตกต่างไปจากคนปกติ เขาก็เลยเอาซีอุยมาศึกษาเพื่อผ่าดูสมองว่ามีอะไรผิดปกติแตกต่างจากคนทั่วไปไหม นั่นคือเหตุผล แต่หลังจากที่ผ่าแล้ว ตอนนี้ร่างซีอุยก็ยังถูกแขวนอยู่ ถามว่าให้ความรู้อะไรกับคนที่ไปดู เมื่อเวทน้ำหนักระหว่างการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และประโยชน์ที่คนดูได้รับ ถ้ามีเด็กคนหนึ่งเดินไปดูซีอุยที่ตู้กระจก เด็กคนนั้นได้เรียนรู้อะไรจากร่างของซีอุย โดยส่วนตัวผมว่ามันน้อยมาก นี่คือกายวิภาคของมนุษย์กินคน แต่ข้อมูลอีกด้านไม่มีพยานหลักฐานอะไรเลยที่ชัดเจนชี้ชัดลงไปว่าชายคนนี้เป็นมนุษย์กินคน
หรือแค่...‘แพะ’ กินคน
คำถามที่อยู่ในใจฟาโรห์มาตลอดก็คือ การนำร่างของซีอุยมาโชว์ในพิพิธภัณฑ์มันโหดร้ายเกินไปไหม
"เราไม่มีพยานหลักฐานอะไรเลย นอกจากคดีสุดท้ายที่เขาถูกนำขึ้นศาลคดีเดียว ส่วนอีก 6 คดีก่อนหน้าตำรวจไม่ได้ส่งฟ้อง ซีอุยโดนข้อหาฆาตกรรมเด็กชายสมบูรณ์ ไม่ใช่คดีกินอวัยวะเด็กชายสมบูรณ์ เป็นคดีฆาตกรรม ที่เขาบอกว่าเจอตับกับหัวใจในตู้กับข้าวในบ้านพักของซีอุย แพทย์บอกว่ามีลักษณะคล้ายตับและหัวใจของมนุษย์ ถ้าเป็นการชันสูตรที่แท้จริงต้องตัดชิ้นเนื้อไปพิสูจน์ว่าเป็นของเด็กชายสมบูรณ์จริงๆ ไหม แต่ตรงนี้เราไม่แตะแล้วเพราะว่าคดีมันผ่านมานานมากแล้ว ถ้าสังเกตในช่องยูทูบที่ผมทำจะใช้คำว่า ‘แพะกินคน’ เราแค่บอกว่าไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนว่าเขาเป็นมนุษย์กินคน เราก็ไม่ควรตีตราเขาว่าเป็น หรือไม่ควรเรียกเขาว่า ‘มนุษย์กินคน’ เหนือสิ่งอื่นใดเลยเราไม่ควรเอาร่างเขามาจัดแสดงอย่างนั้น
ผมไม่ต้องการไปรื้อฟื้นคดีเก่าๆ หรือหาว่าใครเป็นฆาตกรตัวจริง สิ่งที่ผมต้องการคือ ทุกวันนี้ซีอุยอยู่ในตู้กระจก ไม่ว่าเขาจะเป็นแพะหรือเป็นฆาตกรจริงๆ เขาไม่ควรถูกเอาร่างไปไว้อย่างนั้นครับ เขาไม่ควรถูกตีตราว่าเป็นมนุษย์กินคนโดยที่เราไม่มีพยานหลักฐานว่าเขาเป็นมนุษย์กินคน หรือถ้าใครมีหลักฐานว่าเขาเป็นผมก็ยินดีที่จะร่วมถกเถียงด้วย เอามาดีเบต เอามาแสดงให้ประชาชนเห็นว่ามีพยานหลักฐานอย่างนี้
ตอนที่ผมสื่อสารเรื่องนี้ออกไป ผมเอาข้อมูลฝั่งผมออกมากองให้ดู เทียบกับข้อมูลเดิมๆ ที่เราเคยมี เอามากองให้ประชาชนดูเทียบน้ำหนักว่าฝั่งไหนน่าเชื่อถือกว่ากัน สุดท้ายมันเป็นเรื่องของปัจเจก ถ้าคุณเชื่อว่าซีอุยเป็นมนุษย์กินคน ผมก็อยากรู้ว่าคุณเชื่อเพราะอะไร มันสมเหตุสมผลไหม"
สังคมคือผู้ปลุกปั่นและปลดปล่อย
เป้าหมายของโปรเจคนี้คือ การเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดแสดงร่างของซีอุย โดยนำร่างของเขาไปฌาปนกิจ แล้วเผยแพร่ข้อเท็จจริงอีกด้านให้สังคมรับรู้
"นี่คือตัวอย่างหนึ่งของการโดนสื่อสังคมปั่น ทุกวันนี้ผ่านมา 50-60 ปี เรายังเป็นอย่างนั้นอยู่ ทุกวันนี้เฟซบุ๊ค อินสตราแกรม ทวิตเตอร์ ไลน์ ทุกคนเป็นสื่อได้หมด ผมคิดว่ามันยิ่งง่ายที่จะปลุกปั่นอะไรสักอย่างหนึ่ง
สิ่งที่ผมต้องการคือ เอาข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่มีจริงๆ อย่างบทสัมภาษณ์ของชาวบ้านแถบทับสะแก สำนวนการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ ข่าวที่ลงในสมัยนั้น เผยแพร่ออกมาให้ประชาชนได้รู้ว่า มีชุดข้อมูลด้านนี้อยู่ ให้ประชาชนได้ชั่งน้ำหนักดูว่า อะไรจริงไม่จริง เพราะคำสารภาพของซีอุยมันขาดข้อเท็จจริงจริงๆ สุดท้ายเราจะเชื่อในหลักฐาน
ผมอยากให้ศิริราชยุติการจัดแสดงร่างของซีอุย นั่นคือเป้าหมายสูงสุด เราต้องการคุยกับทางศิริราชว่าคิดเห็นอย่างไรกับประเด็นนี้ หากทางศิริราชเห็นด้วย ยุติการจัดแสดง เราก็จะดีใจ แต่ถ้าไม่เห็นด้วย เราก็อยากทราบเหตุผล เป็นลักษณะของการหาทางออกร่วมกัน ประชาชนจะเห็นเองว่าทางแก้แบบนี้ดีไหม
ปีที่แล้วตอนตั้งแคมเปญนี้ใหม่ๆ ผมพยายามส่งไปตามสื่อต่างๆ บุคคลที่มีชื่อเสียง คนที่มีความเกี่ยวข้อง ตอนนี้ดีใจที่มีประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งเขาได้รับทราบแล้ว เริ่มแพร่กระจายขยายออกไป ที่เคยเชื่อว่าซีอุยเป็นมนุษย์กินคนก็เริ่มสงสัยอย่างที่ผมเคยเป็น เริ่มถกเถียงเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในโลกออนไลน์ ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างทาง ยังไม่ถึงเป้าหมายความสำเร็จที่ได้ตั้งไว้
ขอบคุณประชาชนที่ตื่นตัว ให้เกียรติ รู้สึกอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง ที่มาร่วมลงชื่อกับผมในแคมเปญ ตอนนี้ยังขาดอีก 2,000-3,000 รายชื่อ แต่ก็รู้สึกดีใจและขอบคุณที่หลายๆ คน เห็นความสำคัญของสิทธิและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ แม้ว่าคนๆ นั้นจะเสียชีวิตไปนานหลายสิบปีแล้ว
คนๆ นี้คือคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม มันจะย้อนกลับมาว่าในปัจจุบันนี้ คนที่ยังมีชีวิตอยู่และถูกละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คุณจะได้รับความเห็นใจเหมือนกัน นี่คือสิ่งที่ผมดีใจ"
ย้อนตำนานซีอุย
ถ้า ‘ซีอุย’ หรือในชื่อจริงว่า ‘หลีอุย แซ่อึ้ง’ มีชีวิตอยู่จนถึงขณะนี้เขาก็ใกล้จะได้ฉลองอายุครบ 100 ปีแล้ว เพราะจากบันทึกคำให้การของตำรวจระบุว่า ซีอุย เกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2464 ที่เมืองซัวเถา ประเทศจีน ก่อนจะหนีเข้ามาเมืองไทยเมื่อปี 2489
เรื่องราวอันเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานสุดสะพรึงเกี่ยวกับ ‘ซีอุย มนุษย์กินคน’ เกิดขึ้นหลังจากเขามาตั้งรกรากในเมืองไทยได้ 8 ปี เมื่อเกิดเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญ 7 คดี ในช่วงปี 2497-2501 มีเด็ก 6 รายถูกฆ่าโดยร่ำลือว่าอวัยวะภายในหายไป ส่วนคดีแรกเด็กหญิงวัย 8 ขวบ รอดชีวิต
วันที่ 27 มกราคม 2501 ซีอุยซึ่งขณะนั้นอายุ 19 ปี มีอาชีพรับจ้างทำงานในสวนในไร่ ถูกจับด้วยข้อกล่าวหาว่า เขาฆ่าเด็กชายคนหนึ่งที่พ่อใช้ให้ไปซื้อผักที่ไร่ของซีอุย เนื่องจากพ่อของเด็กออกตามหาและพบซากศพกำลังถูกเผา โดยตับกับหัวใจอยู่ในตู้กับข้าวของซีอุย เขารับสารภาพในที่สุด
หลังจากถูกจับ เรื่องราวของซีอุยกลายเป็นข่าวใหญ่ในหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับ ในรายงานข่าวเล่าคำให้การของซีอุยว่า ตอนเด็กๆ เขาตัวเล็กจึงมักถูกรังแกอยู่ตลอด กระทั่งได้พบนักบวชคนหนึ่งบอกว่า ถ้าเอาหัวใจและตับของคนมากินจะทำให้ฮึกเหิมกล้าสู้คน ซึ่งซีอุยก็ยังไม่กล้า กินแค่หัวใจและตับสัตว์เท่านั้น แต่หลังจากถูกเกณฑ์เป็นทหารและถูกข้าศึกล้อมจนอดอยาก นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้ผ่าศพเพื่อนทหารกินประทังชีวิต
เมื่อเข้าสู่การพิจารณาคดีในชั้นศาลแรกทีเดียวเขารับสารภาพเฉพาะคดีสุดท้ายที่ถูกจับกุม แต่ภายหลังก็ปรากฎคำรับสารภาพทั้ง 6 คดีก่อนหน้านั้น ทำให้เขาถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2502 และหลังจากการประหารชีวิต ศพของซีอุยถูกนำมาดองเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ภายในโรงพยาบาลศิริราช ในฐานะฆาตกรต่อเนื่องที่ก่อคดีสะเทือนขวัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
ทว่า เรื่องราวของซีอุยไม่ได้จบแค่นั้น ภายหลังได้มีผู้สนใจพยายามค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะจากหลักฐานคำให้การต่างๆ พบว่ามีเงื่อนงำหลายอย่างที่เป็นไปได้ว่า ซีอุยอาจไม่ได้เป็นคนก่อคดีทั้งหมด และเขาก็ไม่ได้มีสภาพจิตผิดปกติที่เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่า ‘มนุษย์กินคน’
ยิ่งไปกว่านั้นการรับโทษประหารน่าจะเกินพอแล้วสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง การจองจำเขาไว้กับตราบาปในฐานะฆาตกรโหด-มนุษย์กินคน ในสภาพซากศพเปลือยเปล่า อีกด้านย่อมถือเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีของผู้วายชนม์ จึงมีการเรียกร้องให้นำร่างเขาไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา พิสูจน์ความจริง และคืนความเป็นธรรมให้กับ ‘ซีอุย’