'เฮติ'ประเทศแห่งรัฐประหาร

ไทยถ้าต้องการจะทำสถิติรัฐประหารให้เท่าเฮติ โอกาสก็น่าจะมีอยู่ เพราะดูเหมือนว่าเฮติน่าจะเลิกรัฐประหารไปแล้ว
สาธารณรัฐเฮติ เป็นประเทศเล็กในหมู่เกาะคาริบเบียน ทวีปอเมริกาเหนือ มีเนื้อที่ ๒๗,๗๕๐ ตร.กม. และมีประชากรราว ๑.๔ ล้านคน ตั้งอยู่บนด้านตะวันตกของเกาะฮิสปานิโอลา ภาษาทางราชการของเฮติ คือ ภาษาลูกครึ่งฝรั่งเศสแบบเฮติ
ประวัติศาสตร์ของเฮติ มีความพิเศษหลายประการ เช่น เฮติเป็นประเทศที่สองในทวีปอเมริกาที่เป็นเอกราช ถัดมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา คือ ต่อสู้จนได้รับเอกราชเมื่อ ค.ศ.๑๘๐๔ และเอกราชของเฮติเป็นผลิตผลของการปฏิวัติโดยทาสผิวดำและคนผิวสีแห่งแรกของโลก และเป็นประเทศแรกในโลกที่มีผู้นำทางการเมืองเป็นอดีตทาส แต่ในบทความนี้ จะพิจารณาเฮติในอีกฐานะหนึ่ง คือ ประเทศที่มีรัฐประหารมากที่สุดในโลก
หลังจากที่สเปนสำรวจหมู่เกาะแคริบเบียนและยึดดินแดนเหล่านี้เป็นอาณานิคม แต่บริเวณตะวันตกของเกาะฮิสบานิโอลา กลับเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาทำไร่ยาสูบ ต่อมา ใน ค.ศ.๑๖๙๗ ฝรั่งเศสและสเปนจึงทำสัญญาแบ่งเกาะกัน โดย ๕ ส่วนของเกาะเป็นของสเปน ซึ่งต่อมาตั้งเป็นประเทศสาธารณรัฐโดมินิกัน ส่วนอีก ๓ ส่วนเป็นของฝรั่งเศส เรียกว่า เซนโตมินิกของฝรั่งเศส หรือเรียกว่า ไข่มุกแห่งอัลติลเลส เพราะความงดงามของชายหาดของดินแดนนี้
ฝรั่งเศสได้เข้าทำไร่อ้อย และไร่กาแฟ ในเซนต์โดมินิก มีการนำแรงงานทาสผิวดำจำนวนมากจากแอฟริกามาใช้เป็นแรงงาน ทำให้ทาสผิวดำและลูกผสมผิวสีกลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ของอาณานิคม เซนต์โดมินิกได้ชื่อว่าเป็นแห่งหนึ่งที่มีกดขี่แรงงานทาสอย่างหนัก จนพวกทาสได้ลุกขึ้นต่อต้านอำนาจเจ้าอาณานิคมหลายครั้ง แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติในประเทศฝรั่งเศสเมื่อ ค.ศ.๑๗๘๙ กระแสเรียกร้องสิทธิเสมอภาคส่งอิทธิพลมาถึงอาณานิคมเซนโดมินิก นำมาสู่การลุกขึ้นสู้ของทาสขนานใหญ่ กลายเป็นขบวนการเรียกร้องเอกราช ในที่สุด วันที่ ๑ มกราคม ค.ศ.๑๘๐๔ ฌอง ฌาร์ค เดสซาลิเนส ผู้นำของฝ่ายทาส ก็ประกาศเอกราชของเซน์โดมินิก และเปลี่ยนชื่อให้เรียกว่า เฮติ ซึ่งในภาษาพื้นเมืองหมายถึงดินแดนแห่งขุนเขา เดซาลิเนสรับตำแหน่งผู้ว่าการตลอดชีพ แต่ต่อมา ในวันที่ ๖ ตุลาคม เดซาลิเนสก็เลียนแบบนโปเลียน โดยแต่งตั้งตนเองเป็นพระจักรพรรดิฌาร์คที่ ๑ แห่งเฮติ
การตั้งตัวเองเป็นพระจักรพรรดิ ได้สร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งให้ฝ่ายนายทหารทาสส่วนอื่นที่เข้าร่วมการปฏิวัติ เหตุการณ์จึงนำมาสู่การรัฐประหารครั้งแรก โดย อังรี คริสโตเฟ และ อเล็กซานเดอร์ เปติออง ได้ร่วมกันก่อรัฐประหารโค่น และสังหารพระจักรพรรดิในวันที่ ๑๗ ตุลาคม ค.ศ.๑๘๐๖ และนำมาสู่การสร้างประเทศใหม่ภายใต้ระบอบสาธารณรัฐ
ต่อมา ฌอง ปิแอร์ โบเยอร์ หนึ่งในผู้นำทาสที่ทำการปฏิวัติได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีตั้งแต่ ค.ศ.๑๘๑๘ จนถึง ค.ศ.๑๘๔๓ เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและแผ่นดินไหว ชาร์ล เรแวเร เฮอราด จึงนำกองทัพก่อการรัฐประหารในวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๘๔๓ ซึ่งถือเป็นการรัฐประหารครั้งที่สอง เฮอราดตั้งตนเองเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ แต่ถูกฟิลิปเป เกเรีเย ก่อรัฐประหาร โค่นอำนาจในวันที่ ๓ พฤษภาคม ค.ศ.๑๘๔๔ ถือเป็นการรัฐประหารครั้งที่สาม
ฌอง หลุย เพียรอต รับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อ ค.ศ.๑๘๔๕ แต่เกิดขัดแย้งกับผู้นำกองทัพ ในที่สุด ฌอง บาติสเต ริเช่ ผู้บัญชาการทหาร ก็ก่อการรัฐประหารครั้งที่สี่ ในวันที่ ๒๔ มีนาคม ค.ศ.๑๘๔๖ หลังจากนั้น ริเช่ได้เป็นประธานาธิบดี แต่ถึงแก่กรรมใน ค.ศ.๑๘๔๗ เฟาติน ซูลองเก ผู้บัญชาการทหาร ได้เป็นประธาธิบดีแทน แต่ต่อมา เฟาตินได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าเฟาตินที่ ๑ แต่พระองค์ปกครองอย่างเผด็จการ ตั้งองค์กรตำรวจลับสอดส่องประชาชน ดังนั้น ในวันที่ ๑๕ มกราคม ค.ศ.๑๘๕๙ ผู้บัญชาการทหารฟาเบร เกฟฟรอด ก็ก่อการรัฐประหารโค่นอำนาจพระมหากษัตริย์ ถือเป็นรัฐประหารครั้งที่ ๕
ฟาเบร เกฟฟรอด รื้อฟื้นระบอบสาธารณรัฐและตั้งตนเองเป็นประธานาธิบดี อยู่ในตำแหน่งมาถึง วันที่ ๒๖ สิงหาคม ค.ศ.๑๘๖๗ ก็ถูกพันเอกซิลเวน ซาลเนเว นำทหารเข้าทำการยึดอำนาจ ซึ่งเท่ากับเป็นการก่อการรัฐประหารครั้งที่ ๖ ต่อมา ซาลเนเวก็ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาจนถึงวันที่ ๒๗ ธันวาคม ค.ศ.๑๘๖๙ ก็ถูกรัฐประหารครั้งที่ ๗ นำโดย นิซาเก ซาเก็ต จากนั้น ใน ค.ศ.๑๘๗๖ ค.ศ.๑๘๘๘ และ ค.ศ.๑๘๘๙ ก็เกิดรัฐประหารขึ้นอีกรวมแล้วภายในศตวรรษแรกของประเทศ เฮติมีการรัฐประหารทั้งสิ้น ๑๐ ครั้ง
จากนั้น เมื่อขึ้นศตวรรษใหม่ เฮติก็เปิดฉากด้วยการรัฐประหารในวันที่ ๒๑ ธันวาคม ค.ศ.๑๙๐๑ และตามมาด้วยรัฐประหาร ค.ศ.๑๙๐๘ ค.ศ.๑๙๑๑ และ ใน ค.ศ.๑๙๑๔ มีรัฐประหาร ๒ ครั้ง ค.ศ.๑๙๑๕ รัฐประหารอีก ๒ ครั้ง ในภาวะที่การเมืองของประเทศแตกแยก เศรษฐกิจล่มสลาย สหรัฐอเมริกาจึงถือโอกาสยกกำลังกองทัพเรือเข้ายึดครองประเทศไฮติ ให้เฮติเป็นรัฐในอารักขา สหรัฐได้เข้ามาช่วยจัดการเรื่องการคมนาคม การสาธารณสุข การศึกษา พัฒนการเกษตร จัดระเบียบกองทัพ และวางรากฐานประชาธิปไตยรัฐสภาให้กับเฮติ จากนั้น ก็ได้ถอนกำลังจากเฮติใน ค.ศ.๑๙๓๔
การเมืองของเฮติดำเนินไปตามแบบประชาธิปไตยอเมริกามาจนถึงวันที่ ๑๑ มกราคม ค.ศ.๑๙๔๖ คณะทหารก็อ้างเหตุแห่งความวุ่นวายทางการเมืองแล้วเข้ายึดอำนาจอีกครั้ง กลายเป็นรัฐประหารครั้งที่ ๑๘ และตามด้วยรัฐประหาร ค.ศ.๑๙๕๐, ค.ศ.๑๙๕๖, และรัฐประหาร ๒ ครั้ง ใน ค.ศ.๑๙๕๗ ความวุ่นวายของเหตุการณ์นำมาสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งของ ฟรังซัว ดูวาลิเย ในวันที่ ๒๒ กันยายน ค.ศ.๑๙๕๗ จากนั้น ดูวาลิเยก็เข้าควบคุมกองทัพ จากนั้นก็แก้รัฐธรรมนูญ รักษาอำนาจ เปลี่ยนตนเองเป็นผู้เผด็จการ สร้างลัทธิบูชาบุคคล ให้ประชาชนยกย่องเชิดชู เรียกกันว่า “ปาปาดอก” (papa doc) ระบบเผด็จการของดูวาลิเยขณะนั้น ได้รับการรับรองจากสหรัฐ เพราะเป็นระบอบปกครองขวาจัดต่อต้านคอมมิวนิสต์สุดขั้ว ดูวาลิเยอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีตลอดชีพ จนถึง ๒๑ เมษายน ค.ศ.๑๙๗๑ ก็ถึงแก่กรรม อายุได้ ๖๔ ปี
ฌอง คลอด ดูวาลิเย ผู้บุตร ฉายา “เบเบดอก” (Bébé Doc) อายุเพียง ๑๙ ปี ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสืบทอดจากบิดา เกิดการลุกขึ้นสู้ต่อต้านดูวาลิเยตั้งแต่ ค.ศ.๑๙๘๕ ทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น รัฐบาลอเมริกาจึงกดดันให้ดูวาลิเยสละตำแหน่งในวันที่ ๓๐ มกราคม ค.ศ.๑๙๘๖ และให้มีการตั้งรัฐบาลรักษาการขึ้น และดำเนินการให้มีการเลือกตั้ง แต่กองทัพนำโดย พล.อ.อังรี นัมฟรี ก็ก่อการรัฐประหารครั้งที่ ๒๓ ในวันที่ ๒๐ มิถุนายน ค.ศ.๑๙๘๘ แต่กลับมามาสู่รัฐประหารซ้อนในวันที่ ๑๗ กันยายน ปีเดียวกัน
ท้ายที่สุด กองทัพก็ก่อการรัฐประหารครั้งที่ ๒๕ ในวันที่ ๓๐ กันยายน ค.ศ.๑๙๙๑ ตั้งระบอบปกครองโดยทหารนานถึง ๔ ปี ขณะนั้น โลกนานาชาติคว่ำบาตรเฮติ และอเมริกาเตรียมที่จะส่งกองทัพเข้าแทรกแซงอีกครั้ง แต่ประธานาธิบดีบิล คลินตัน แห่งอเมริกา ได้ส่งทีมไปเจรจาให้คณะทหารคืนอำนาจสู่ประชาธิปไตย ในที่สุดคณะทหารเฮติต้องยอมจำนนให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ให้ประเทศกลับคืนสู่ประชาธิปไตยใน ค.ศ.๑๙๙๕
จากนั้น รัฐบาลใหม่ของเฮติได้ยุบเลิกกองทัพประจำการทั้งหมด เหลือแต่กองตำรวจแห่งชาติรักษาการความปลอดภัย นอกจากนี้ ก็มีเพียงกองรักษาการชายฝั่งทะเล ซึ่งกลายเป็นการประหยัดงบประมาณอย่างมาก เพราะไม่ต้องมีงบกลาโหม และทำให้ประเทศปลอดภัยจากการรัฐประหาร
บทเรียนจากเฮติก็นับว่าเป็นประวัติศาสตร์อันน่าสนใจ สำหรับประเทศไทยถ้าต้องการจะทำสถิติรัฐประหารให้เท่าเฮติ โอกาสก็น่าจะมีอยู่ เพราะดูเหมือนว่า เฮติน่าจะเลิกรัฐประหารไปแล้ว