ผบช.สตม. ลั่นโครงการ 'ไบโอแมทริกซ์' ไม่หมูเหมือนคดีหวย 30 ล้าน
ผบช.สตม. ไม่หวั่นถูกเขย่าตำแหน่ง ลั่นโครงการ “ไบโอแมทริกซ์” ไม่หมูเหมือนคดีหวย 30 ล้าน
จากกรณีที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน หอบเอกสารหลักฐานเข้าร้องเรียนต่อ สำนักคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สอบ 4 นายตำรวจระดับสูง เกี่ยวข้องโครงการไบโอแมทริกซ์ พบไม่สามารถเชื่อมต่อระบบสารสนเทศน์ของ ตม.ได้ ซ้ำส่งงานล่าช้า และมีผู้บัญชาการคนหนึ่งเสนอให้ยกเลิกสัญญากับเอกชนแล้ว แต่กลับถูกขยายเวลา ส่อไปในทางทำให้รัฐเสียหายนั้น
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2562 พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.ตชด.รรท.ผบช.สตม. เปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าวว่า ในเรื่องของระบบไบโอแมทริกซ์ เป็นระบบที่สากลนิยมใช้ ซึ่งหากได้มีการนำมาใช้จะเป็นประโยชน์มากโดยเฉพาะเรื่องปลอมแปลงใบหน้า ซึ่งระบบนี้จะช่วยในเรื่องของการสแกนใบหน้าเก็บอัตลักษณ์บุคคล เช่นเดียวกับการปลอมแปลงพาสสปอร์ต ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยให้การกระทำความผิดยากขึ้น ที่ผ่านมาเทคโนโลยีดังกล่าวก็ยังช่วยให้ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสามารถจับกุมผู้ต้องหาปลอมหนังสือเดินทางได้ ส่วนเรื่องกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการนี้ดำเนินการมาก่อนที่ตนจะเข้ามารับตำแหน่ง 2 ปี ซึ่งทางสำนักงานส่งกำลังบำรุงเป็นเจ้าของสัญญา โดยมีคณะกรรมการจากหลายหน่วยงานเข้าไปเกี่ยวข้องกับการตรวจรับ รวมถึงตัวแทนของกระทรวงไอซีทีเข้ามาให้ความรู้คำแนะนำเกี่ยวกับเทคโนโลยี ซึ่งทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นเพียงหน่วยงานที่ใช้ และอยู่ระหว่างการส่งมอบเพื่อที่จะใช้ อีกทั้งหากพบปัญญาในการใช้ก็จะนำเสนอคณะกรรมการ ซึ่งทุกขั้นตอนมีทีโออาร์ระบุไว้อยู่แล้ว และหากคู่สัญญาทำไม่ถูก ส่วนตัวเชื่อว่าคณะกรรมการจะไม่ทำการตรวจรับ
พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับทางคู่สัญญา ไม่ใช่ว่าไปถ่วงหรือไปทำอะไร ยืนยันว่าผมตรงไปตรงมา ซึ่งในส่วนนี้ทุกขั้นตอนมีผู้แทนของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเข้าไปเป็นคณะกรรมการตรวจรับ ซึ่งจากการได้รับการรายงานวันนี้ทางคณะกรรมการตรวจรับก็ยังมีการเรียกประชุมโดยนำปัญหาข้อขัดข้องของผู้ปฎิบัติมาแก้ไข เพื่อที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีดังกล่าวเป็นของใหม่ มีขั้นตอนรายละเอียดมากต้องเก็บลายนิ้วมือสิบนิ้ว ทำให้อาจเกิดความขัดข้องไม่คุ้นเคย ต่างจากระบบเดิมที่ใช้เพียงดูหน้าจากหนังสือเดินทางและใช้ลายนิ้วมือสองนิ้วเท่านั้น
พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามได้กำชับผู้ปฎิบัติงานให้เรียนรู้วิธีใช้ประสานบริษัทเอกชนให้มาสอนวิธีใช้ และหากเกิดปัญหาติดขัดอะไรที่ไม่เป็นไปตามสัญญาหรือทีโออาร์ให้แจ้งมายังคณะกรรมการตรวจรับ เนื่องจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นผู้ใช้ ทั้งนี้ยืนยันว่าหากระบบเสร็จสิ้นประเทศชาติจะได้ประโยชน์ และจะเกิดความเชื่อมั่นต่อนักท่องเทึ่ยว รวมถึงการที่กลุ่มผู้ไม่หวังดีจะใช้ประเทศไทยเป็นที่ก่ออาชญากรรมจะลดน้อยลง อย่างไรก็ตามประเด็นเรื่องความโปร่งใสของโครงการจะดีหรือไม่ดีนั้น อยู่ที่ทางคณะกรรมการตรวจรับ อยู่ที่สัญญา ส่วนตัวเชื่อว่าคณะกรรมการทุกท่านมีองค์ความรู้มีความรับผิดชอบและเดินตามสัญญาหรือทีโออาร์ที่กำหนด ซึ่งในส่วนนี้ไม่ได้น่าเป็นห่วงอะไร เพียงแต่แค่งงว่าเหตุใดถึงมีการจุดประเด็นตรงนี้ทั้งที่สองปีที่ผ่านมาไม่ได้มีการพูดถึง
พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวอีกว่า บางครั้งอย่าลืมว่า การขยายสัญญาอาจไม่ได้เป็นความผิดของทางบริษัท แต่อาจเกิดจากการที่ส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนไม่ได้ ก็ไม่ใช่ความผิดของคู่สัญญา ในส่วนนี้ก็เป็นเหตุให้ขยายสัญญาได้ แต่หากว่าไม่มีเหตุแต่ทำไม่เสร็จคู่สัญญาก็ต้องเสียค่าปรับจนกว่าจะใช้ได้ ดังนั้นต้องแยกแยะในส่วนนี้ไม่ใช่ไปเหมารวม เรื่องนี้อาจจะไม่หมูเหมือนหวย 30 ล้าน อย่างไรก็ตามยืนยันว่าตรงไปตรงมา มีระเบียบ มีสัญญามีร่างสัญญามีการใช้งาน มีคณะกรรมการตรวจรับ ส่วนตัวเชื่อว่าถ้าของไม่ดีหรือไม่ตรงตามสัญญาทางคณะกรรมการคงไม่กล้าที่จะตรวจรับ แต่ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นเพียงผู้ใช้ ไม่การันตีว่าใครผิดใครถูก แต่การันตีว่าระบบนี้เป็นระบบที่ดีทั่วโลกนิยมใช้ ส่วนเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างโครงการนั้นมีทีโออาร์ที่ต้องเดินตามกำหนด หากบริษัทคู่สัญญาผิดก็ต้องถูกปรับ อะไรที่มันไม่ถูกผมเชื่อว่าไม่มีใครกล้า
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของปปช.ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะดำเนินการอย่างไร พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวว่า ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองยินดีที่จะให้ข้อมูล แต่อย่าลืมว่าคู่สัญญาเป็นสำนักงานส่งกำลังบำรุง สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสาร(สทส) เพียงแต่ว่าทางสตม.ส่งรองผู้บัญชาการ รองผู้บังคับการไปเป็นคณะกรรมการตรวจรับคุรุภัณฑ์ เพราะเป็นผู้ใช้ แต่หากปปช.จะเรียกขอข้อมูลก็ยินดีไม่มีปัญหาให้ความร่วมมืออยู่แล้ว โดยเฉพาะรัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องความโปร่งใส
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าเป็นการถูกรับน้องหรือไม่ พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวว่า ในส่วนนี้ตนไม่ทราบว่ามีการรับน้องหรือไม่ ผมว่าสื่อมวลชนตัดสินใจได้ ผมไม่กลัวอยู่แล้วจะมีการเขย่า ในชีวิตรับราชการผมไปหมดแล้วทั้งเหนือสุดใต้สุด ยืนยันตรงไปตรงมา อะไรที่ไม่ดีก็ไม่ทำ ยึดผลประโยชน์ชาติเป็นหลัก ซึ่งความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ในเมื่อผู้บังคับบัญชาไว้วางใจให้มาทำหน้าที่ตรงนี้ก็จะทำให้ดีที่สุด ไม่มีกลั้นแกล้งหรือรังแกใคร และผมก็เชื่อมั่นในทีมงานของผม