คำสั่งรองสว.-ผบ.หมู่ 13,973 นาย ย้ายจากชายแดนใต้กลับภูมิลำเนา
คำสั่งรองสว.-ผบ.หมู่ 13,973 นาย ย้ายจากชายแดนใต้กลับภูมิลำเนา
เมื่อวันที่ 15 ก.ค.62 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ รองสารวัตร (สว) ถึงผู้บังคับหมู่ (ผบ.หมู่) วาระประจำปี 2561 ว่า ขณะนี้การแต่งตั้งโยกย้ายดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว โดยผู้บัญชาการทุกหน่วยได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง ในวันที่ 30 มิ.ย.2562 และให้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.2562 เป็นต้นไป พร้อมกันทุกหน่วย รวมจำนวนทั้งสิ้น 13,973 ราย แบ่งเป็นระดับ รองสว. จำนวน 3,732 ราย และระดับ ผบ.หมู่ จำนวน 10,241 ราย ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำชับให้ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเดินทางไปรายงานตัวปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งใหม่ให้เสร็จสิ้นภายวันที่ 15 ก.ค.นี้
พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ในการแต่งตั้งวาระประจำปีนี้ มีข้าราชการตำรวจได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายกลับไปปฏิบัติหน้าที่ในภูมิลำเนาของตนเอง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน อาทิ พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผู้ที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่มาเป็นเวลานาน ได้ย้ายกลับภูมิลำเนา จำนวน 765 นาย กองบัญชาการตำรวจนครบาล ย้ายกลับภูมิลำเนา จำนวน 69 นาย กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จำนวน 395 นาย อย่างไรก็ตามในบางพื้นที่หรือบางหน่วยงานที่มีเหตุผลความจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ ได้แก่ พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน(อคฝ.) และสถานีตำรวจนครบาลบางแห่ง จำเป็นต้องถ่ายทอดงานให้แก่กำลังพลที่มาทดแทนให้เกิดความต่อเนื่อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งออกจากหน่วยงานดังกล่าว อยู่ปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราวจนถึงเดือนต.ค.2562
โฆษกตร. กล่าวอีกว่า ในการแต่งตั้งครั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เน้นให้ความเป็นธรรมในการแต่งตั้ง โดยผู้บังคับบัญชาใกล้ชิด สามารถพิจารณาจัดวางตัวบุคคลให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ ยืนยันไม่มีใครโดนเตะ เป็นการแต่งตั้งลงในตำแหน่งที่ว่างเท่านั้น รวมทั้งให้ความสำคัญกับการร้องขอกลับภูมิลำเนา หรืออุปการะครอบครัว เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจ มุ่งมั่นให้การแต่งตั้งระดับรองสว. ถึง ผบ.หมู่ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่ใกล้ชิด และติดต่อให้บริการกับประชาชนโดยตรง เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถจัดคนได้ตรงกับงาน เพื่อให้การบริการประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น หน่วยต่างๆ สามารถบริหารสถานภาพกำลังพลให้เพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ได้ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ประชาชนและสังคมต่อไป