'ซีพี ออลล์' รายได้ครึ่งปี 1.4 แสนล้าน เพิ่ม 10.6% กำไร 4,795 ล้าน
ผลการดำเนินงานซีพี ออลล์ และบริษัทย่อย ไตรมาส 2 ปี 62 รายได้รวมโต 10.6 % ครึ่งปี 1.4 แสนล้าน กำไร 4,795 ล้าน
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ก่อตั้งร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในประเทศไทย รายงานผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยประจำไตรมาส 2/2562 มีกําไรสุทธิจํานวน 4,795 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตร้อยละ 0.3
นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ Chief Financial Officer บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในไตรมาส 2 ปี 2562 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 143,326 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 10.6 โดยปัจจัยหลักที่ทําให้รายได้รวมเพิ่มขึ้น มาจากรายได้การขายสินค้าและบริการที่เพิ่มสูงขึ้นจากธุรกิจร้านสะดวกซื้อรวมถึงธุรกิจศูนย์จําหน่ายสินค้าระบบสมาชิกแบบชําระเงินสดและบริการตนเองภายใต้ชื่อ “สยามแม็คโคร” ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ของบริษัทและบริษัทย่อยในการนําเสนอสินค้าและบริการได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องและเหมาะสม รวมถึงการขยายสาขา เพื่อรองรับกับการพัฒนาวิถีการดําเนินชีวิตของลูกค้า และให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าได้อย่างสะดวก
สำหรับผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่องของบริษัท มาจากวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของซีพี ออลล์ ในฐานะองค์กรหนึ่งของสังคมและชุมชน ที่ดำเนินธุรกิจควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังมาโดยตลอด โดยในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ซีพี ออลล์ ได้มอบเงินในโครงการ “ลดวันละถุง...คุณทำได้” จากการเชิญชวนให้ผู้ซื้อสินค้าและบริการที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ปฏิเสธการใช้ถุงพลาสติก เพื่อเปลี่ยนเป็นเงิน 20 สตางค์ต่อถุง นำไปสมทบทุนซื้ออุปกรณ์การแพทย์ มอบให้กับอาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งได้รับการตอบรับและความร่วมมือจากลูกค้าทั่วประเทศเป็นอย่างดียิ่ง เป็นจำนวนเงินบริจาค 57 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเปิดโครงการ “ลดวันละถุง...คุณทำได้ เฟส 2” โดยประสานความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเตรียมมอบเงินสมทบทุนให้แก่ โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลในชุมชน และโรงพยาบาลในถิ่นทุรกันดาร รวม 77 โรงพยาบาลใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อขยายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่และส่งมอบโอกาสให้กับผู้ป่วยในถิ่นทุรกันดารได้เข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ดี ซึ่งจนถึงวันที่ 8 สิงหาคม 2562 สามารถลดจำนวนถุงพลาสติกได้กว่า 593,016,358 ใบ เป็นเงินมูลค่ารวมกว่า 118 ล้านบาท