กระทรวงท่องเที่ยวเบรกเก็บค่าประกันภัยทัวริสต์ต่างชาติ

กระทรวงท่องเที่ยวเบรกเก็บค่าประกันภัยทัวริสต์ต่างชาติ

กระทรวงท่องเที่ยวฯ ชะลอแผนจัดเก็บค่าประกันภัย-ชีวิตนักท่องเที่ยวต่างชาติ ชี้ขอดูจังหวะเหมาะสม หวั่นทัวริสต์ชะลอเที่ยว สะเทือนเป้ารายได้เที่ยวไทยปีนี้ 3.3 ล้านล้านบาท

นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯต้องชะลอแผนจัดเก็บเงินค่าประกันภัยและประกันชีวิตจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในไทยออกไปก่อน จากเดิมมีแผนเดินหน้าจัดเก็บค่าประกันฯ ตามแนวทางที่กำหนดให้รัฐดำเนินการตาม พรบ.นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2562 โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษารูปแบบการจัดเก็บที่เหมาะสม

“อาจจะเริ่มจัดเก็บในปี 2563 หรือในจังหวะที่เหมาะสมมากกว่านี้ เนื่องจากภาคท่องเที่ยวไทยกำลังเผชิญปัจจัยลบรุมเร้ารอบด้าน ทั้งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ภาวะเงินบาทแข็งค่า และเงินหยวนอ่อนค่ากระทบต่อตลาดนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาติอื่นๆ ทำให้ต้องรอดูจังหวะที่เหมาะสมกว่านี้ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากประกาศไป นักท่องเที่ยวอาจตกใจได้”

ประกอบกับกระทรวงฯต้องการให้เป้าหมายรายได้รวมท่องเที่ยวไทยปีนี้ไปถึง 3.3 ล้านล้านบาท จากแนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มองว่าจะทะลุ 41 ล้านคนได้ในปีนี้ สูงกว่าคาดการณ์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ซึ่งประเมินไว้ที่ 40.2 ล้านคน

ขณะที่แนวโน้มสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี ตั้งแต่ ก.ย.-ธ.ค.นี้ คาดว่าจะเติบโตทั้งจำนวนและรายได้ไม่ต่ำกว่า 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หลังจากรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว ทั้งโครงการชิม ช้อป ใช้ เพื่อกระตุ้นตลาดไทยเที่ยวไทย และต่ออายุมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival : VoA) ไปอีก 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 เม.ย. 2563

“ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯเตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจสามารถลาได้ 2 วันในเดือน ต.ค.นี้ โดยไม่นับเป็นวันลา และต้องเป็นการลาเพื่ออยู่ในประเทศไทยเท่านั้น ไม่ใช่การลาเพื่อเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ หวังเห็นตลาดข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจพาครอบครัวหรือบุตรหลานเที่ยวในประเทศช่วงปิดภาคเรียนเพื่อกระตุ้นการจับจ่าย เสริมโครงการชิม ช้อป ใช้ คาดว่าจะมีการนำเสนอเรื่องนี้ต่อที่ประชุม ครม. วันอังคารที่ 10 ก.ย.นี้”

ด้านนายกำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส Economic and Financial Market Research ศูนย์วิจัย เศรษฐกิจและธุรกิจ (อีไอซี) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวบนเวทีการประชุมสมาชิกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เมื่อศึกการค้าโลกมีแนวโน้มยืดเยื้อนำไปสู่สงครามค่าเงิน ก่อความเสี่ยงและไม่แน่นอนแก่เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาตลาดจีน คิดเป็นสัดส่วน 10% ของภาคส่งออก และ 30% ของภาคท่องเที่ยว ในเมื่อไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนมาก ผลกระทบที่วิ่งมาหาจึงมากตามไปด้วย

ทั้งนี้ อีไอซีมองว่าเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังปีนี้ มีปัจจัยเสี่ยงมากกว่าปัจจัยที่ทำให้โต จึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจหรือจีดีพีของไทยปีนี้โตได้เต็มที่ 3% แบบต้องพึ่งเม็ดเงินกระตุ้นจากภาครัฐ หากไม่ได้เม็ดเงินนี้มาช่วย อาจโตแค่ 2.7% เพราะเครื่องจักรเศรษฐกิจไทยมีแต่ติดลบกับชะลอตัว และจากเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง จนแข็งที่สุดในบรรดากลุ่มประเทศ Emerging Market ทำให้คู่ค้าและนักท่องเที่ยวต่างชาติรู้สึกว่าสินค้าและบริการของไทยแพง กระทบต่อการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว

“เราต้องยอมรับว่าปีนี้ต้องทำใจกับเศรษฐกิจไทย ส่วนปี 2563 คาดว่าจีดีพีอาจโต 3.2% แต่ถ้าสงครามการค้ายังยืดเยื้อ จีดีพีปีหน้าอาจโตแค่ 3% หรือไม่ถึงด้วยซ้ำ สะท้อนให้เห็นว่าการฟื้นตัวในปีหน้า เป็นการฟื้นตัวแบบเปราะบางมากๆ ขึ้นกับว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะทำอย่างไรกับจีนในศึกการค้าครั้งนี้”

นายกำพล กล่าวเพิ่มเติมว่า อาจจะเห็นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศลดดอกเบี้ยอีกครั้งใน 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้ เพราะมีแรงกดดันจากธนาคารกลางประเทศต่างๆ ที่จะลดดอกเบี้ยในช่วงนี้ ส่วนประเด็นค่าเงินบาท เชื่อว่าจะอยู่ที่ 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 30.5-30.6 บาท มีโอกาสน้อยมากที่จะหลุดจากระดับ 30 บาท

“การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอาจเป็นไปค่อนข้างช้า ภาคท่องเที่ยวเองที่เคยเป็นพระเอกก็ได้รับผลกระทบ อาจฟื้นตัวได้ไม่เร็วนัก ขึ้นอยู่กับผลของสงครามการค้าว่าจะออกมาเป็นอย่างไร จึงอยากจะแนะนำให้เร่งป้องกันความเสี่ยงซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ธุรกิจท่องเที่ยวต้องมองในปีหน้า”