คำต่อคำ! ความมั่นคง และมาตรา 1 ของ "อภิรัชต์" ปะทะ "ปิยบุตร"

คำต่อคำ! ความมั่นคง และมาตรา 1 ของ "อภิรัชต์" ปะทะ "ปิยบุตร"

ผบ.ทบ. ประกาศลั่นรัฐธรรมนูญมาตรา 1 แก้ไม่ได้ ซัดคนเสนอมีเจตนาแฝง โยงกระทบสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้านปิยบุตร จวก "บิ๊กแดง" หวังครองอำนาจ-พาชาติติดหล่ม รับเป็นซ้ายจัดดัดจริต แต่แค่ศึกษาประวัติศาสตร์ หวังแก้ไขสถานการณ์ในประเทศ

สมรภูมิการเมืองเดือดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกจัดบรรยายพิเศษในหัวข้อ “แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง” เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2562 ณ หอประชุมกิตติขจร กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) โดยใช้เวลาบรรยายประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

โดยสาระสำคัญที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ได้กล่าวถึงประกอบด้วย เล่าประสบการณ์ในการทำงานของตนเอง ความสำคัญและบทบาทหน้าที่ของทหาร กล่าวถึงกรณีของนักการเมืองที่ร่วมถ่ายภาพกับนักเคลื่อนไหวชาวฮ่องกง กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 และสงครามการใช้โซเชียลมีเดีย กล่าวถึงสงครามลูกผสม สงครามข่าวสารข้อมูลและการโฆษณาชวนเชื่อ ที่ พล.อ.อภิรัชต์ คาดว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มคนรุ่นใหม่สร้างสงครามนี้

และทิ้งท้ายด้วยการตั้งคำถามต่อประชาชนว่า ปัญหาเรื่องความมั่นคงนั้น ประชาชนต้องการให้ใครแก้ไข นักวิชาการที่ไปเรียนเมืองนอกที่ร่วมกับนักเรียนนอกซ้ายจัดดัดจริต นักการเมืองบางคนที่มุ่งหาแต่ประโยชน์ส่วนตัวเพื่อพวกพ้องไม่นึกถึงประโยชน์ชาติ หรือจะเชิญกลุ่มนักการเมืองที่เหมือนผึ้งแตกรังที่พี่ใหญ่หนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ หรือท่านจะเชิญนักธุรกิจที่เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทอง ซึ่งสามารถตีความว่าหมายถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แม้ พล.อ.อภิรัชต์ จะไม่ได้ระบุชื่อบุคคลใดก็ตาม พร้อมกันนี้ ผู้บัญชาการทหารบก ย้ำว่าตนไม่ได้ยุ่งกับการเมือง

157096143024

การบรรยายดังกล่าวนั้นก็ส่งผลให้ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ จัดบรรยายพิเศษเพื่อโต้แย้งประเด็นร้อน เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2562 โดยใช้ชื่อการบรรยายที่มีความสอดคล้องกับหัวข้อของผู้บัญชาการทหารบก ที่ชื่อ "แผ่นดินของเราในมุมมองประชาธิปไตย: บทบาทของประชาชนในการสร้างชาติ" ในการบรรยายครั้งนี้ใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง

ปิยบุตรเริ่มต้นบรรยาย ด้วยการอธิบายว่า “ชาติ” ว่าเป็น "สิ่งประดิษฐ์" ที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาเพื่อการอยู่ร่วมกัน ต่อด้วยการอธิบายเรื่อง รัฐธรรมนูญ มาตรา 1 จากนั้นก็ตอบโต้ประเด็นสงครามลูกผสมของ ผู้บัญชาการทหารบก ที่อ้างว่ามีผู้บงการเบื้องหลังเป็นนักวิชาการ และนักการเมือง จากนั้นกล่าวถึงระบบการยึดอำนาจ และตบท้ายกับการตั้งคำถามว่า ในขณะที่สังคมไทยติดหล่มความขัดแย้งมา 13 ปี และมีปัญหาทั้งใหญ่และยากเกินกว่าจะฝากไว้ที่คน 3 กลุ่มหรือ โดยกลุ่มแรกคือ กองทัพ กลุ่มที่สองคือ สื่อยุยงปลุกปั่น และกลุ่มที่สามคือ รัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจ

  • คำต่อคำ: ปมแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 1

ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 บททั่วไป นับเป็นประเด็นที่ได้ยินมากที่สุดนับหลังจากมีการเลือกตั้งมา เพราะทางฝั่งฝากพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้ง 7 มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่า อย่างไรเสียก็จะผลักดันในเกิดแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้

ในเรื่องนี้ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ จึงได้พูดในการบรรยายพิเศษว่า “หลังมีการเลือกตั้งได้ไม่กี่เดือน หลังจากนั้นก็มีกลุ่มคนบางกลุ่มลงไปนั่งเสวนานักวิชาการ อาจารย์บางคนนั่งเทียนเอา ไถโทรศัพท์มือถือเอา แล้วมาบอกว่าเชี่ยวชาญชำนาญในภาคใต้ ต้องแก้ปัญหาแบบนี้ มีการยกประเด็นมาตรา 1 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้ รัฐธรรมนูญไทยเริ่มตั้งแต่ปี 2475 ผมถามว่ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญกี่ครั้ง”

“ผมออกมาพูด ผมไม่ได้พูดว่า ไม่ได้บอกว่ารัฐธรรมนูญแก้ไม่ได้ แต่มาตรานี้เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ เกี่ยวกับเลือดเนื้อ ชีวิตของบรรพบุรุษที่รักษาขวานทองแผ่นดินนี้ไว้ ผมบอกได้เลยว่าไม่มีวัน ถึงผมตายไป ทหารรุ่นใหม่ก็ต้องเกิดขึ้นมาทดแทนผม ผมเชื่อว่าฝ่ายความมั่นคงทุกคน และประชาชน ท่านอาจจะไม่รู้ว่า ปู่ย่าตายายของท่านอาจจะร่วมเป็นทหาร เพื่อรักษาแผ่นดินของเราไว้” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว

พล.อ.อภิรัชต์ ยังกล่าวต่อว่า “ฉะนั้นจะแก้มาตราอะไรก็แก้ ถ้าแก้มาตราที่ 1 ก็จะกระทบกับมาตราอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ นี่คือความชาญฉลาดของพวกนักวิชาการที่ไม่พูดตรงๆ ออกมาว่าอยากทำอะไร อยากแก้อะไร จึงยกประเด็นมาตรา 1 หากประเทศไทยไม่ใช่ราชอาณาจักร ประเทศไทยถูกแบ่งแยกกระทบมาตราอื่นแน่นอน บอกแล้วว่าไม่ได้มาขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ได้มายุ่งกับการเมือง แต่นี่คือเรื่องของฝ่ายความมั่นคง

157096142826

ด้านปิยบุตร แสงกนกกุล ชี้แจงในประเด็นนี้โดยเริ่มต้นจากการอธิบายว่า “รูปของรัฐซึ่งมี 2 เกณฑ์ในการแบ่ง 1. ถ้าประมุขของรัฐมาจากการสืบทอดทางสายโลหิตเรียกว่าราชอาณาจักร แต่ถ้าประมุขมาจากการเลือกตั้งเรียกว่าสาธารณรัฐ 2. การจัดวางโครงสร้างภายในรัฐ แบ่งเป็นสหพันธรัฐกับรัฐเดี่ยว”

“เวลาที่ท่านพูด การแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าเรื่องใดแก้ได้ แก้ไม่ได้ อยากให้หยิบรัฐธรรมนูญขึ้นมาดู อย่าใช้ความรู้สึกส่วนตัวมาตัดสิน ให้หยิบรัฐธรรมนูญมาดูว่าเรื่องใดแก้ได้ แก้ไม่ได้” ปิยบุตร กล่าว

จากนั้น ปิยบุตร ยังชี้แจงว่า ในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 255 เขียนว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐจะกระทำไม่ได้ นี่คือข้อจำกัดในการแก้รัฐธรรมนูญ ประเทศไทยจะแก้ไขรัฐธรรมนูญก็แก้ไขได้แต่ต้องไม่แก้ไขอะไรที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือเปลี่ยนรูปแบบของรัฐในการเป็นราชอาณาจักรหรือเปลี่ยนรูปของรัฐจากความเป็นรัฐเดี่ยว ซึ่ง 3 เรื่องนี้ห้ามแก้ไขเป็นอันขาด และหากถามว่ามาตรา 1 แก้ไขได้หรือไม่

หากลองไปเปิดรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 256 (8) เขียนไว้ว่า หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดที่ 1 หมวดที่ 2 และหมวดที่ 15 ต้องผ่านการทำประชามติจากประชาชนก่อน ดังนั้นเมื่ออ่านรัฐธรรมนูญแล้วสามารถแก้ได้ แต่เมื่อแก้แล้วห้ามมีผลเปลี่ยนแปลงการปกครองในรูปแบบการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ห้ามเปลี่ยนรูปแบบการปกครองของรัฐจากราชอาณาจักรเป็นรูปแบบอื่น และห้ามเปลี่ยนรูปแบบรัฐจากรัฐเดี่ยวไปเป็นสหพันธ์นี่คือข้อจำกัด แต่หากมีการแก้ประเทศไทยก็ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่ามีการแก้ไขใดที่กระทบกับ 3 เงื่อนไขนี้หรือไม่

157096144363

และนอกจากนี้ ปิยบุตร จึงตอกย้ำประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมฝ้ายค้านว่า “สิ่งที่ผู้บัญชาการทหารบกบรรยาย เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นความเข้าใจผิดทั้งหมดเป็นการนำความเห็นของนักวิชาการคนหนึ่งยกขึ้นมาทำลายความชอบธรรมในการขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคฝ่ายค้าน โดยพยายามยึดโยงว่าการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายค้านนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง ซึ่งพรรคฝ่ายค้านยืนยันแล้วว่าไม่จริง และเคยยืนยันแล้วว่าการแก้ไขจะไม่เข้าไปแตะหมวด 1 และหมวด 2 โดยพรรคการเมืองฝ่ายค้านเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญตามระบบ ตรงกันข้าม เวลาคณะรัฐประหารเข้ามาก็ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งทั้งฉบับ เท่ากับข้อห้ามในการแก้ไขไม่มีอีกต่อไปแล้ว รัฐธรรมนูญกลับไปเป็นปีศูนย์ ไม่มีอะไรเป็นกรอบเป็นเกณฑ์”

“ดังนั้นการฉีดรัฐธรรมนูญโดยรัฐประหารหรือไม่ที่จะเป็นการเปลี่ยน อยากให้คิดให้ดีว่า คนที่มีปากกา คนที่มีมือ คนที่มีความคิด กับคนทีมีอาวุธ ใครกันแน่ที่ละเมิดมาตรา 1 ได้มากกว่ากัน” ปิยบุตร กล่าวทิ้งท้ายประเด็นนี้

  • คำต่อคำ: สงครามลูกผสม VS ระบอบลูกผสม

ในช่วงหนึ่ง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ได้กล่าวว่าในขณะนี้ประเทศไทยได้เผชิญอยู่กับ Hybrid warfare หรือสงครามลูกผสม ย้ำว่าไม่ได้เป็นการอุปโลกน์ขึ้นมา เป็นสงครามที่ใช้การผสมผสานกันของเครื่องมือ ทางสงครามตามแบบ และสงครามไม่ตามแบบ โดยสงครามที่ว่ามาประกอบไปด้วย Regular military forces กำลังทหารปกติ และ Special Forces กำลังทหารรบพิเศษเป็นกำลังฝ่ายรัฐบาล

แต่สาระสำคัญอยู่ที่ Irregular force หรือกองกำลังที่ไม่ใช่ทหาร เช่น กลุ่มก่อการร้าย การทำอาชญากรรม มวลชนที่ต่อต้านอำนาจรัฐ กลุ่มยาเสพติด ชายชุดดำ ซึ่ง ผู้บัญชาการทหารบก ได้ยกตัวอย่างว่า เช่น กลุ่มเข้ามาวางระเบิดกรุงเทพ 8 จุด ที่ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่

“ผมไม่ได้พูดเพื่อท้าทาย แต่เชื่อว่าหลังจากพูดไปทางโซเชียลมีฟีดแบคถึงผมแน่ แต่อย่าทำร้ายประเทศ พวกที่ไม่พอใจ” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว

ถัดมาคือ Support of local unrest การสนับสนุนจากประชาชนในท้องถิ่น กลุ่มคนเหล่านี้อยู่ไม่ได้ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนในท้องถิ่น ตั้งแต่นักการเมืองระดับชาติ นักการเมืองท้องถิ่น ผู้นำท้องถิ่น บางคนเป็นเศรษฐีอาจจะบริจาคเงินให้ไปทำกิจกรรม ให้ไปทำหนังสือพิมพ์ ให้ทำเว็บไซต์ หรือแม้แต่เป็นแหล่งข่าวให้กับฝ่ายตรงข้าม

ต่อมาคือ Information warfare propaganda หรือสงครามข้อมูลข่าวสารและการโฆษณาชวนเชื่อโดย ซึ่งในข้อนี้ ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า การโฆษณาชวนเชื่อทุกวันนี้หนักทั่วโลก ที่สำคัญคือยังมีกลุ่มคอมมิวนิสต์ ที่ไม่ได้กลับตัวกลับใจ ยังมีแนวความคิดล้มล้างระบอบสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยคนกลุ่มนี้มีผู้บงการวางแผน อายุ 70-72 ปี แต่ไม่ออกตัว กับบรรดานักวิชาการที่คอยถ่ายทอดแนวคิดจากรุ่นสู่รุ่น ผนึกกำลังกันกับนักวิชาการและอาจารย์ที่ไร้จรรยาบรรณ ที่ไม่สอนตามบทเรียน แต่ไปพูดตอกย้ำความคิดในสิ่งผิดให้เด็กๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

"คนพวกนี้ไปผนึกกำลังร่วมกับพวกอาจารย์นักวิชาการที่ไร้จรรยาบรรณ กับกลุ่มครูอาจารย์ที่ไปเรียนต่างประเทศกลับมา พวกซ้ายจัด ไปเรียนในประเทศที่เคยล่าอาณานิคมที่ยึดประเทศไทย เอาความคิดมาผสมผสานรวมกันเพื่อสร้าง การโฆษณาชวนเชื่อ แล้วนำแนวความคิดของตัวเองเผยแพร่ลงโซเชียล ทำเป็นข่าวลวง วันนี้ทุกคนมีมือถือกันหมด ข่าวโฆษณาชวนเชื่อทุกวันนี้มันขึ้นมาเร็ว เร็วกว่าเรื่องดีๆ” พล.อ.อภิรัชต์กล่าว

นอกจาก พล.อ.อภิรัชต์ ยังบอกอีกว่า การสงครามข้อมูลข่าวสารและการโฆษณาชวนเชื่อยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เพราะยังมีการสร้างสัญลักษณ์ เสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อดำ เสื้อสีรุ้ง ชูสามนิ้ว แสดงถึงการเป็นกลุ่มพวกเดียวกันอีกด้วย

องค์ประกอบถัดไปเป็นเรื่องของ Diplomacy หรือการทูต ที่ผู้บัญชาการทหารบก มองว่าแม้เรื่องนี้จะละเอียดอ่อนแต่สำคัญ เพราะมีการใช้องค์กรระหว่างประเทศ องค์กรอิสระต่างๆ เพื่อยกระดับความสำคัญองค์กรของตัวเองขึ้นมา ทั้งยังนำชาวต่างชาติที่ไม่มีที่มาชัดเจนมาร่วมถ่ายรูปหน้าโรงพัก ไปยืนอยู่กับกลุ่มชุมนุมเพื่อให้เห็นว่ามีความเป็นสากล และมีความรุนแรงจนชาวต่างชาติต้องเข้ามาให้ความสนับสนุนและช่วยเหลือ ภาพต่างๆ เหล่านี้อยู่ในวงของสงครามลูกผสม

ต่อมาเป็นเรื่องของ Cyber attacks หรือ การโจมตีทางไซเบอร์ พล.อ.อภิรัชต์ มองว่าเป็นเรืองที่หนัก เพราะมีการใช้กระบวนการวิเคราะห์เซ็ทข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data analytic) ในทางที่ผิด ระบบพวกนี้จะถูกรวบรวมเอาไว้ใน big data ความคิดเห็นของท่านทั้งหมดทุกอย่างจะถูกรวบรวมไว้ มีการเอาไปใช้ผิดๆ เพื่อหวังผลทางการเมือง เพื่อจะรู้ว่าเด็กชอบอะไร ผู้ใหญ่วัยนี้ชอบอะไร เฉพาะสิ่งนี้มีความสำคัญมาก

และองค์ประกอบสุดท้ายคือ Economic warfare หรือสงครามทางเศรษฐกิจ เช่นจีน กับสหรัฐอเมริกาซึ่งส่งผลต่อทุกประเทศ แต่ก็มีกลุ่มที่แสวงประโยชน์ทางการเมือง เช่น นำภาพคนอดอยากมาใช้ประโยชน์ทางการเมือง ชอบมีการนำภาพคนจนออกมา สร้างภาพว่าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล ปัญหามีไว้ให้แก้ ผมเชื่อว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็ตามก็ต้องพยายามแก้ไขปัญหาคนจนตามวิธีการต่างๆ โดยสุจริตใจ ไม่เอามาเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง ทำให้คนรวยเท่ากันเป็นเรื่องยาก แต่ทำให้คนจนเท่ากันทั้งหมดเป็นเรื่องง่าย นี่คือคอนเซ็ปต์ของพรรคคอมมิวนิสต์

157096143190

ในประเด็นทางฝั่งของ ปิยบุตร แสงกนกกุล ตอบโต้ด้วยความคิดเห็นจากประเทศต่างๆ ที่มองว่า ไทยเป็น Hybrid Regime หรือระบอบลูกผสม หัวมังกุท้ายมังกร จนกลายเป็นระบอบที่เรียกชื่อไม่ได้ ประกอบด้วย 8 ลักษณะคือ

ข้อที่หนึ่ง Regime เป็นเผด็จการที่มีการเลือกตั้ง แต่ยังคงคราบไคลของเผด็จการอยู่ ปิยบุตรกล่าวว่า “บทพิสูจน์คือการเลือกตั้งกลายเป็นเพียงเครื่องมือของการสืบทอดอำนาจ กลายเป็นเครื่องประดับแต่งหน้าทาปากเพื่อไปอวดอ้างกับชาวโลกว่าประเทศไทยกลับเข้าสู่การเลือกตั้งแล้ว” ที่แม้มีประชาชน 24 ล้านคนออกไปลงคะแนนเสียงให้พรรคที่ไม่เอาการสืบทอดอำนาจ แต่คะแนนเสียงก็ไม่มีผล เนื่องจากกลไกของรัฐธรรมนูญปี 2560 มี ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. แล้วก็กลับไปเลือก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นนายกฯ อีกครั้ง

ข้อที่สองคือ มีการอ้างเรื่องอุดมการณ์ต่างๆ แต่เบื้องหลังมีเรื่องของผลประโยชน์อยู่ อำนาจต้องมาพร้อมกับการรับผิดชอบและการถูกตรวจสอบ องค์กรใดก็ตามที่ถือครองอำนาจสาธารณะต้องถูกตรวจสอบ แต่ที่ผ่านมาหลายๆ กรณีไม่ได้ถูกตรวจสอบ

ข้อที่สามคือ มีหลายโครงการที่อ้างว่าต้องการช่วยเหลือคนจน แต่กลับไปเอื้อทุนใหญ่ เหตุใดที่เรื่องการแข่งขันไม่เป็นธรรม หรือเรื่องทุนผูกขาดถึงไม่เป็นวาระแห่งชาติ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประชาชนโดยตรง

ข้อที่สี่ สัมปทานของรัฐ ขึ้นชื่อว่าของรัฐแต่ไม่ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม

ข้อที่ห้า เรากล่าวกันว่าประเทศไทยเป็นเมืองเอกราชไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร นักวิชาการและนักรัฐศาสตร์จำนวนมาก ก็กล่าวกันว่าเราเคยไปล่าอาณานิคมอื่น เป็นการล่าอาณานิคมกันภายใน

ข้อที่หก เป็นประวัติศาสตร์ที่มีประชาชนอยู่ในนั้น

ข้อที่เจ็ด ทหารอ้างว่าถอนกลับเข้ากรมกองแล้ว แต่ยังตบเท้าเป็นระยะๆ

“ท่านผู้บัญชาการทหารบกพูดเมื่อวานคือการยุ่งเกี่ยวกับการเมืองทั้งหมด แน่นอนไม่ได้ลงมาเล่นการเมืองผ่านการตั้งพรรค ลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ท่านใส่เครื่องแบบแสดงความเห็นทางการเมืองอย่างชัดแจ้งปิยบุตร กล่าว

ปิยบุตรกล่าวต่อว่า "ประชาธิปไตยไม่ได้หมายความว่าตรงกันข้ามกับทหาร รัฐประชาธิปไตยจำเป็นต้องมีกองทัพ กองทัพเป็นส่วนสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เราสามารถอยู่อาศัยร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกันได้ แต่ถ้า ผู้บัญชาการทหารบก ยังมีลักษณะไฮบริดแบบนี้ บอกไม่ยุ่งการเมือง แต่ตบเท้าแสดงความเห็นการเมืองได้บ่อยๆ ในอนาคตก็จะสร้างปัญหาได้"

ข้อที่แปด ศัพท์ใหม่ แต่วิธีการเก่า ซึ่งปิยบุตรย้อนว่า "ท่านผู้บัญชาการทหารบกมีคำใหม่ๆ เต็มไปหมด ทั้ง Data Analytics Hybrid Warfare ท้ายที่สุดสิ่งที่ผู้บัญชาการทหารบกพูดมา มีการพยายามนำคำศัพท์มาใช้ แต่วิธีคิดเนื้อใน กระบวนทัศน์ ยังอยู่ในยุคสงครามเย็น กล่าวคือ มองว่าคามคิดที่เห็นต่าง เป็นความคิดที่ผิด ดังนั้นความมั่นคงคือ ต้องเข้าไปจัดการปัญหาความคิดที่แตกต่าง”

ในทางกลับกันในประเทศต่าง ๆ ความมั่นคงถูกพูดถึงในแง่ของเทคโนโลยี ส่งเสริมให้ประชาชนมีความมั่นคงในชีวิต มีความคิดสร้างสรรค์ ร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาระดับชาติไปด้วยกัน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้กัน และเชื่อว่าประชาชนจะมีวิจารณญาณว่าเลือกความมั่นคงแบบใด” เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่กล่าว

157096146670

อีกประเด็นที่เกี่ยวข้องกัน คือ Warfare ที่ปิยบุตรได้ตอบโต้ว่า ในปัจจุบันทั่วโลกมองว่า การยึดอำนาจโดยใช้กำลังไม่เป็นที่นิยม จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรูปจากการยึดอำนาจแบบ Warfare ให้เป็น Lawfare หรือใช้กระบวนการทางกฎหมายเข้าจัดการ ในต่างประเทศเริ่มที่ละตินอเมริกา เช่น บราซิล และแพร่หลายไปยุโรป

วิธีการทำงานของการ "ยึดอำนาจด้วยกฎหมาย" มีกลไก 2 อย่าง กลไกที่หนึ่งคือ เอาประเด็นปัญหาทางการเมืองไปอยู่ในมือของศาล ปรากฏให้เห็นถึงอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรค อำนาจศาลสูงในการตัดสินคดีคอร์รัปชันของนักการเมืองต่างๆ โดยมาในนามของ Rule of law (หลักนิติธรรม) ศาลต้องมีอำนาจในการตรวจสอบ

กลไกอีกส่วนหนึ่งจะทำงานได้ดีคือ ต้องอาศัยสื่อ คือการเอาคดีนางการเมืองที่ปนๆ กันแล้วไปอยู่ในมือศาล สร้างสื่อขึ้นมาช่วยกันปั่น ยกตัวอย่างเช่น เรื่องยังไม่ถึงไหน ก็เขียนข่าวทุกวัน ผิดแน่ ยุบแน่ ไม่รอดแน่ ตายแน่ ตัดสิทธิแน่ ทุกวันๆ บางทีหลักฐานไม่มี เจอตัวเลขตัวเดียวเอาไปปั้นข่าวได้ 200 ข่าว เพื่อให้ประชาชนคิดว่าพรรคนี้ไม่รอด จนสุกงอม ศาลก็เข้ามาตัดสินคดี

157096146934

  • คำต่อคำ: ฝากอนาคตประเทศไว้ที่ใคร?

ในช่วงท้ายของการบรรยายพิเศษของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ และปิยบุตร แสงกนกกุล ได้กล่าวถึงภาพรวมของประเทศไทยในปัจจุบัน และทิศทางในอนาคต ที่เยาวชน ทุกรุ่นต่างมีความกังวลใจถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง และกังวลต่อความมั่นคงของประเทศในด้านต่างๆ

ซึ่ง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ได้กล่าวว่า “ท้ายที่สุดที่พูดให้ฟังไม่มีความจำเป็นต้องเชื่อก็ได้ แต่ขอถามท่านว่าปัญหาเรื่องความมั่นคงท่านจะให้ใครแก้ นักวิชาการ หรืออาจารย์บางคนที่คบคิดกับพวกคอมมิวนิสต์เดิม เป็นมาสเตอร์มายด์ เป็นคลังสมอง ร่วมกับนักเรียนนอกซ้ายจัดดัดจริต ที่ไปเรียนจากประเทศที่เคยล่าอาณานิคม อบรมสั่งสอนแบบไร้จรรยาบรรณชอบอ้างเลข 2475 เป็นตัวชี้นำ ชอบอ้างว่าตนเป็นนักประชาธิปไตยแต่มีวาทกรรมจาบจ้วง หรือจะเลือกให้กลุ่มนักการเมืองบางคนที่มุ่งหาแต่ประโยชน์ส่วนตัวเพื่อพวกพ้องไม่นึกถึงประโยชน์ชาติ”

รวมไปถึงนักการเมืองบางคนในพื้นที่ภาคใต้ ที่เอาเรื่องศาสนา เรื่องการแบ่งแยกดินแดนเป็นเครื่องมือในการหาเสียง หรือจะเชิญกลุ่มนักการเมืองที่เหมือนผึ้งแตกรังหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ หรือจะเชิญนักธุรกิจที่เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทอง ชีวิตไม่เคยลำบาก เหมือนฮ่องเต้ชินโดรม เคยชุมนุมร่วมกับคนเผาบ้านเผาเมือง สบคบคิดกับชาวต่างชาติชักศึกเข้าบ้าน เจาะพฤติกรรมการล้างสมองคนรุ่นใหม่เพื่อเป็นฐานให้กับตนเข้าสู่การเมือง มีพฤติกรรมล้มล้างสถาบัน

“สามกลุ่มที่ผมพูดมานั้นไม่ผิดหรอกครับถ้าท่านจะเป็นผู้นำประเทศ ท่านเป็นได้ และไม่ใช่ประเทศไทยไม่มีผู้นำเหล่านี้มาก่อน แต่ขอเถอะครับว่า ไม่ส่อพฤติกรรมล้มล้างสถาบัน ไม่ส่อพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่ส่อพฤติกรรมหาประโยชน์ส่วนตน เชิญเถอะครับเชิญมานำประเทศของเราให้ไปสู่ความเจริญ” ผู้บัญชาการทหารบกกล่าว

ผู้บัญชาการทหารบกปิดท้ายด้วยประโยคที่ว่า “สุดท้ายเราอาจจะเห็นต่างกัน เราอาจจะรักใครชอบใคร ชอบในสิ่งที่ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เราเห็นต่างกันนั้นจะต้องไม่นำไปสู่ความขัดแย้งของคนในชาติ ต้องไม่นำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน ผม ทหาร เพื่อนตำรวจ จะยืนอยู่เคียงข้างประชาชน และขอให้พี่น้องประชาชนนิสิตนักศึกษาจำไว้ว่า ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ก็คือลูกหลานของพวกท่าน”

157096142041

ในขณะที่ด้าน ปิยบุตร แสงกนกกุล ก็ได้กล่าวว่า ในขณะที่สังคมไทยติดหล่มความขัดแย้งมา 13 ปี และมีปัญหาต่างๆ ที่ใหญ่ และยากเกินกว่าจะฝากไว้ที่คน 3 กลุ่ม

“กลุ่มที่หนึ่งกองทัพที่ไม่สอดคล้องกับประชาธิปไตย แทรกแซงการเมืองได้เสมอ พร้อมรัฐประหารทุกเวลา และยังติดอยู่ในยุคของสงครามเย็น สองสื่อยุยงปลุกปั่นที่เรียกว่าดาวสยาม 4.0 ไม่ได้ และสามรัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจ ที่ผ่านมา 5 ปีอำนาจล้นมือยังแก้ปัญหาไม่ได้เลย จะปล่อยให้เข้ามาแก้ไขปัญหา คิดว่าไม่มีทาง” ปิยบุตร กล่าว

พร้อมกันนี้ ปิยบุตร เชิญชวนผู้บัญชาการทหารบกและกองทัพ มาร่วมพูดคุย อย่ามองคนเห็นต่างเป็นศัตรู ต้องเลิกวิธีการสร้างศัตรูภายในใจ ต้องบอกว่าความเห็นที่แตกต่างกันนั้นสามารถอยู่อาศัยร่วมกัน ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าปรากฏการณ์ของพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นแล้ว มีประชาชนคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่ตื่นรู้ และหากแก้ปัญหาโดยการมองว่าคนเหล่านี้ถูกปลุกปั่น ก็จะแก้ปัญหาไม่ตรงจุด จะแก้ไขปัญหาด้วยการกำจัดคนเหล่านี้ให้ออกไปจากประเทศไทยหรือ หรือจะตีกรอบให้ไม่มีเสรีภาพ จะเอาไปปรับทัศนคติอย่างนั้นหรือ และขอว่าอย่ากังวลใจกับตน อย่ากังวลใจกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อย่ากังวลใจกับพรรคอนาคตใหม่

“ท่านอาจจะคิดว่าผมเป็นพวกซ้ายจัดดัดจริต คนพวกนี้ชอบแต่จะศึกษาเรื่องราวปฏิวัติ เรื่องนี้ผมไม่เถียง ผมศึกษาเรื่องการปฏิวัติทั่วโลก เพื่อเป็นบทเรียนและพิจารณาร่วมกันว่าทำอย่างไรให้ประเทศไทยไม่ต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ การเปลี่ยนแปลงบนโลกนี้เกิดขึ้นได้สองรูปแบบ คือ การปฏิวัติและการปฏิรูป ดังนั้นการที่ผมศึกษาเรื่องการปฏิวัติ แต่ผมสนับสนุนและอยากให้ประเทศไทยเกิดปฏิรูป ให้คนในชาติได้อยู่อาศัยร่วมกัน เพราะ 13 ปีที่ผ่านมาเกิดความขัดแย้งขึ้นในประเทศ ที่ผ่านมาผู้บัญชาการทหารบก รวมถึงผม ก็เคยเป็นส่วนหนึ่งในความขัดแย้ง แต่วันนี้ถึงเวลาแล้ว ที่วันนี้เรามีแต่ความปรารถนาดีที่พร้อมจะปฏิรูปประเทศไปด้วยกัน” ปิยบุตร กล่าว

157096148145

ปิยบุตร กล่าวอีกว่า สิ่งการที่ผู้บัญชาการทหารบกบรรยาย ไม่ได้ส่งผลดี ไม่ได้ช่วยแก้ไข ตรงกันข้ามกลับตอกลิ่มสร้างความแตกแยก แบ่งแยก สร้างความเกลียดชัง สิ่งที่ผู้บัญชาการทหารบกพูด กำลังไปกระตุ้นในสิ่งที่ไม่อยากให้เกิด ตนและพรรคอนาคตใหม่มีเสียงสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ ไม่เคยมีความคิดที่จะแบ่งแยกรุ่นของคนในชาติ มีแต่จะชี้ให้เห็นปัญหาของคนทุกคนว่าต้องการที่จะใฝ่ฝันถึงสังคมใหม่ ไม่อยากติดลมความขัดแย้ง 13 ปีที่ผ่านมา

“แทนที่ผู้บัญชาการทหารบกจะสร้างความเข้าใจ แต่กลับไปตอกลิ่มซ้ำลงไปในอนาคตอาจเกิดความแตกแยกทางรุ่นขึ้นได้ เราจะบริหารประเทศอย่างไรหากผู้บัญชาการทหารบกออกมาพูดลักษณะนี้ ขออย่าดูถูกมันสมองของวัยรุ่นว่าตามยุคสมัยไม่ทัน หากใช้วิธีนี้แก้ไขปัญหา นานเข้าเกิดความฝังลึกลงไป ทางที่ดีผู้บัญชาการทหารบกควรทำความเข้าใจกับคนรุ่นใหม่ในลักษณะเปิดกว้างว่าคนรุ่นใหม่ต้องการเห็นอะไร เห็นประเทศไทยเป็นแบบไหน” ปิยบุตรกล่าว

ท้ายกันนี้เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ยังวิงวอนขออย่าใช้วิธีการแบบนี้เพื่อจะแก้ไขปัญหาร่วมกัน และการบรรยายของผู้บัญชาการทหารบก ทำให้เห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องปฏิรูปกองทัพพร้อมกับประชาธิปไตย และต้องสนับสนุนหลักการรัฐบาลพลเรือนขึ้นมาอยู่เหนือกองทัพให้ได้ และสาเหตุที่ตนจำเป็นต้องออกมาบรรยายพิเศษในวันนี้ เพราะมีความกังวลใจว่าการบรรยายของผู้บัญชาการทหารบกจะสร้างปัญหาลุกลามบานปลายไปมากกว่าเดิม จะสร้างความแตกแยกให้กับคนในชาติไปมากกว่าเดิม