ถอดรหัส 'ดิจิทัลดิสรัปชั่น' กูรู แนะ 'ปรับตัว' ก่อนธุรกิจสูญพันธุ์

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และบริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) จัดหลักสูตร “Digital Transformation for CEO” วานนี้(26 พ.ย.) ได้สามกูรูผู้คร่ำหวอดในวงการดิจิทัล ร่วมเปิดมุมมอง ถอดรหัสการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ สร้างความสำเร็จบนคลื่นดิจิทัล

ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เปิดมุมมองในหัวข้อ “Surviving in the world of disruption” ว่า โลกปั่นป่วน เปลี่ยนแปลง หากไม่คิดปรับตัว หรือเปลี่ยนอะไรเลย ย่อมมีโอกาสแพ้หรือสูญพันธุ์ โดยวันนี้เข้าสู่ยุคที่แข่งขันกันเป็นหลักวินาที ผู้บริโภคไม่ชอบที่จะอดทนรอ คำว่า “ค่อยเป็นค่อยไป” ต้องถูกลบออกไปจากพจนานุกรมของการทำธุรกิจ

เขากล่าวว่า ยุคนี้มีความน่ากลัวอย่างที่เราไม่เคยจินตนาการมาก่อน มากกว่ายุคของสงครามเย็น หรือ สงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งไม่ทราบแน่ชัดว่าใครที่ศัตรูที่แท้จริง

ปัจจุบัน เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(เอไอ) เข้ามามีอิทธิพล สั่นคลอนอาชีพของคน ไม่ว่าจะเป็น นักการเงิน ด้วยระบบที่มีความแม่นยำ ไม่มีอคติ หรือแม้แต่นักกฎหมายเห็นได้จากเจพีมอร์แกนที่เริ่มมีแนวคิดลดจำนวนบุคลากรเพื่อลดต้นทุนและนำระบบคอมพิวเตอร์รวมถึงเอไอเข้ามาทำงานแทน

อย่างไรก็ดี จากประสบการณ์พบด้วยว่า ปัญหาที่น่ากังวลของประเทศไทยคือ “ขาดแคลนบุคลากร” และไม่ทราบกำลังคนที่มีอยู่อย่างแท้จริง ขณะนี้เผชิญปัญหาทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ อีกทางหนึ่งพฤติกรรมเด็กยุคใหม่เปลี่ยนไป เมื่อจบการศึกษาอาจไม่ต้องการทำงานที่ตรงกับสาขาที่เรียน มุ่งที่จะมีกิจการเป็นของตนเอง ไม่ใช่วันที่การอาบน้ำร้อนมาก่อน หรือการมีประสบการณ์มากว่า 50 ปี จะสามารถนำมาใช้ได้

สำหรับการปรับตัวต้องทำด้วยการ “REINVENTION” หรือการสร้างใหม่ ถ้าอยากเก่งต้องคบกันคนที่เก่งกว่า มีแนวคิดที่ก้าวข้ามกำแพงที่เคยถูกจำกัดไว้

“เอไอแทบจะทำทุกอย่างแทนมนุษย์ได้ ในทุกอาชีพ ก้าวสู่ยุคซูเปอร์อินทิลิเจนท์ซึ่งเรียนรู้ได้จากโมบายดีไวซ์ เข้าสู่ยุค “Sensorization of Things” เป็นยุคที่เทคโนโลยีหุ่นยนต์เข้ามามีอิทธิพล ราคาถูกลงและจับต้องได้มากกว่าเดิม ขณะเดียวกันทุกอย่างต้องสมาร์ท”

เขาแนะว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องปรับตัวสู้ การผลักดันให้ประเทศเดินไปข้างหน้าสิ่งที่ต้องโฟกัสอย่างมากคือการศึกษา สาธารณะสุข ต้องยืนให้ได้ด้วยตนเอง พึ่งพาตนเอง เปลี่ยนประเทศจากผู้ซื้อผู้บริโภคไปเป็นผู้สร้างผู้ผลิต และที่สำคัญการมีแรงบันดาลใจหรือบุคคลต้นแบบที่ดีจะทำให้การดำเนินชีวิตของเด็กยุคใหม่เดินไปในทิศทางที่ดี

’เอไอ’ ไม่ใช่ภัยคุกคาม

นายนนทวัฒน์ พุ่มชูศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอคเซนเชอร์ ประเทศไทย แสดงทัศนะในประเด็น “Future of workforce” ว่า คีย์เวิร์ดวันนี้คือเอไอไม่ได้เป็นภัยคุกคาม แต่ทำอย่างไรจะทำให้คนกับแมชีนทำงานร่วมกันและทำให้เกิดผลิตผลสูงที่สุด มีประสิทธิภาพมากที่สุด

การสำรวจความคิดเห็นซีอีโอจำนวนพันกว่าคนจากทั่วโลก พบว่า โดยเฉลี่ยภายใน 5 ปีข้างหน้า ผู้นำองค์กรมีความคาดหวังว่าหากใช้เอไอได้อย่างมีประสิทธิภาพธุรกิจจะเติบโตได้เฉลี่ย 38% โดย 69% เชื่อว่าธุรกิจจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงด้วยอินทิลิเจนท์เทคโนโลยี 72% เชื่อว่าเอไอจะช่วยสร้างความแตกต่าง และ 74% มีแผนใช้หรือจะใช้ระบบอัตโนมัติในกระบวนการทำงาน

สำหรับในประเทศไทยช่วงสองสามปีที่ผ่านมาพบว่า เริ่มมีการทำโครงการทดลองหรือต้นแบบต่างๆ ด้านเอไอ ได้เห็นการใช้แมชีนเลิร์นนิงเข้ามาเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ องค์กรขนาดใหญ่เร่ิมมีการกำหนดเคพีไอเรื่องการนำเอไอมาปรับใช้

อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสนใจผู้บริหาร 54% มีแนวคิดว่ามูลค่าที่มองไม่ใช่เรื่องการนำเอไอมาแทนคน แต่เป็นการทำงานร่วมกัน โดย 61% คาดว่าจะมีการนำเอไอมาปรับใช้และทำงานร่วมกันมากขึ้นภายใน 3 ปีจากนี้

“เอไอไม่ได้ทำให้คนตกงาน กลับกันทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น จากความคาดหวังของผู้บริหารที่มุ่งนำเอไอมาสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ และเรื่องนี้จำเป็นต้องมีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญมาดูแล โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับดาต้า”

ข้อมูลระบุว่า 46% บอกว่างานที่เป็นรูทีนจะถูกลดบทบาทลงและเปลี่ยนไปเป็นงานรูปแบบโครงการมากขึ้น จากเดิมที่งานจะมีความเฉพาะเจาะจงตรงกับตำแหน่งงาน ต่อไปอยู่ในรูปของความเชี่ยวชาญด้านนั้นๆ และทำงานเป็นโครงการเมื่อโครงการหนึ่งสำเร็จก็จะเร่ิมโครงการใหม่กับทีมใหม่ โดยในหนึ่งทีมอาจมีคนและแมชีนอยู่ร่วมกัน วันนี้ 29% บอกว่ามีความเข้าใจว่าการทำงานต้องมีความยืดหยุ่น ขณะเดียวกันมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องขอบเขตการทำงานอย่างมีสาระสำคัญ