ตรวจ DNA 'ครูฆ่าชิงทอง' จาก ‘เหงื่อ’ ทำอย่างไร ได้ผลแค่ไหน?
ไม่มีรอยนิ้วมือก็จับได้! เมื่อ "เหงื่อ" คือ หนึ่งในหลักฐานสำคัญมัดตัวผู้กระทำผิดคดีฆ่า 3 ศพ ชิงทอง จ.ลพบุรี
จากคดีฆ่า 3 ศพ ชิงทอง จ.ลพบุรี ที่เพิ่งจับผู้ต้องสงสัยได้ โดยเป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียน และหนึ่งในหลักฐานสำคัญมัดตัว คือ “เหงื่อ” ทำให้หลายคนเริ่มเห็นความสำคัญของการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลในคดีอาชญากรรม ที่นอกเหนือไปจาก “ลายนิ้วมือ” ที่เราคุ้นเคยกันดี
สำหรับการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลด้วยรอยนิ้วมือนั้นยังมีจุดด้อยเช่น การอำพรางตัวของคนร้ายที่สวมถุงมือ หรือแม้จะไม่สวมถุงมือ ก็อาจมีโอกาสที่รอยนิ้วมือจะมีรอยเปื้อนหรือมองไม่ชัด จนถึงความพยายามลบร่องรอยหลักฐาน จนไม่สามารถตรวจหาตัวผู้กระทำผิดก็ได้ ยิ่งโดยเฉพาะเคสโจรชิงทอง ที่จ.ลพบุรี นี้ อย่างที่เห็นกันในภาพวงจรปิด ว่า คนร้ายแต่งตัวมิดชิด ไม่ปรากฏรอยนิ้วมือให้เห็นเลย
แต่ก็ไม่พ้นความสามารถของ "นิติวิทยาศาสตร์" เพราะสิ่งที่มัดตัวแน่นหนา กลับเป็น “เหงื่อ” ที่หยดลงบนตู้กระจกตอนคนร้ายทุบตู้เพื่อเอาทองออกมานั่นเอง
จากบทความ “เหงื่อ หลักฐานใหม่ในการพิสูจน์บุคคล” โดย พรรณพร กะตะจิตต์ ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของ “ศูนย์เรียนรู้ดิจิทัลระดับชาติด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี สสวท.” ได้ให้ข้อมูลไว้เกี่ยวกับการใช้ “เหงื่อ” มาเป็นเครื่องมือพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลในคดีอาชญากรรมว่า เพิ่งถูกนำมาใช้ไม่นานมานี้ หลังจากใช้รอยนิ้วมือกันมานานกว่าศตวรรษ
อ่านข่าว-เปิดข้อมูล 'ผอ.กอล์ฟ' ลูกตร. ชอบยิงปืน เมียครูหรู ปมกราดยิงชิงทอง
ทุกตารางเซนติเมตรของผิวหนังมีต่อมเหงื่อ 100 ต่อมต่อตารางเซนติเมตร หรือ ประมาณ 650 ตารางนิ้ว
ไม่ว่าจะเกิดเหงื่อด้วยเหตุผลของอากาศร้อนหรือความวิตกกังวลอื่นใด ผู้คนมักจะทิ้งเหงื่อไว้บนสิ่งที่พวกเขาสัมผัส ดังนั้นการหลั่งเหงื่อแต่ละครั้งจึงมีความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์บุคคลเช่นเดียวกับลายนิ้วมือ
จากบทความดังกล่าวได้ระบุข้อมูลที่น่าสนใจว่า
ทุกตารางเซนติเมตรของผิวหนังมีต่อมเหงื่อ 100 ต่อมต่อตารางเซนติเมตรหรือประมาณ 650 ตารางนิ้ว ซึ่งไม่ว่าจะเกิดเหงื่อด้วยเหตุผลของอากาศร้อนหรือความวิตกกังวลอื่นใด ผู้คนมักจะทิ้งเหงื่อไว้บนสิ่งที่พวกเขาสัมผัสแตะต้อง ดังนั้นการหลั่งเหงื่อแต่ละครั้งจึงมีความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์บุคคลเช่นเดียวกับลายนิ้วมือ
โดย เหงื่อ เป็นของเหลวทางชีวภาพที่เกิดขึ้นบนผิวของมนุษย์ ประกอบด้วยลำดับของ "กรดอะมิโน" และ "สารเมตาบอไลท์" (Metabolite) ซึ่งความเข้มข้นของเหงื่อในแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันออกไป และนั่นทำให้ตัวอย่างเหงื่อมีลักษณะที่ค่อนข้างเฉพาะตัว
อย่างไรก็ดี นักเคมีวิเคราะห์อธิบายว่า มี สารเมตาบอไลท์ 3 ชนิดที่สามารถใช้เพื่อระบุลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล ได้แก่ ยูเรีย (Urea) แลคเทต (Lactate) และกลูตาเมต (Glutamate) ที่มีความแตกต่างกันในแต่ละคน
ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองเก็บตัวอย่างเหงื่อบริเวณท่อนแขนของอาสาสมัคร 25 ตัวอย่าง ทดลองเปรียบเทียบกับตัวอย่างที่สังเคราะห์ขึ้น 25 ตัวอย่าง ปรากฏว่า การทดลองสามารถแยกแยะความแตกต่างของแต่ละตัวอย่างได้ตามความเข้มข้นของเมตาบอไลท์ โดยใช้เวลาสั้นๆ เพียง 30-40 วินาทีในการวิเคราะห์เท่านั้น
การวิเคราะห์เมตาบอไลท์จากเหงื่อจะสามารถช่วยลดขั้นตอนหรือปัญหา ในกรณีไม่มีหลักฐานดีเอ็นเอเพียงพอต่อการวิเคราะห์ หรืออาจต้องใช้ระยะเวลานานในการรอผลทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งอาจส่งผลให้การจับกุมหรือระบุตัวผู้ต้องสงสัยได้ไม่ทันการณ์ แต่จากการตรวจหาดีเอ็นเอด้วยเหงื่อนั้นสามารถทำได้ในระยะเวลารวดเร็ว
อย่างไรก็ดี แม้จะตรวจได้รวดเร็ว แต่บทความดังกล่าวได้ระบุเพิ่มเติมถึงข้อจำกัดเรื่อง "ความเข้มข้นของเมตาบอไลท์" ที่ยังไม่อาจสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างของยีนที่เฉพาะเจาะจงในแต่ละบุคคลได้เท่ากับลายนิ้วมือ เนื่องด้วยปัจจัยในเรื่องการรับประทานอาหาร สุขภาพ และการออกกำลังกายที่ทำให้ให้สารเมตาบอไลท์เปลี่ยนแปลงไปได้
ดังนั้นการเก็บข้อมูลและติดตามความเปลี่ยนแปลงของเหงื่อของแต่ละบุคคลจึงถือเป็น "ขั้นตอนที่เพิ่มเข้ามา" ในการพิสูจน์หลักฐาน โดยอย่างน้อยๆ "เหงื่อ" ก็สามารถระบุ "เพศ" และ "อายุ" ได้โดยประมาณ!