อยากทำกำไรจาก 'ราคาทอง' ต้องรู้อะไรบ้าง
เปิด 3 เรื่องต้องรู้ก่อน ลงทุนในทองคำ และทำกำไรจาก "ราคาทอง"
ช่วงที่ "ราคาทอง" พุ่งสูงขึ้นสวนทางหลายๆ ทรัพย์สิน จนทำให้ "ทองคำ" ไม่ว่าจะ "ทองรูปพรรณ" หรือ "ทองแท่ง" ต่างก็กลายเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนหลายคนหมายตาเพื่อทำกำไร
แต่ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปลงทุนเพื่อหวังกำไรจากทองคำต้องทำความเข้าใจ เพราะถึงแม้ทองจะยังคงถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์มั่นคง แต่ย่อมมีความเสี่ยงตามมาอย่างแน่นอนหากขึ้นชื่อว่าเป็น “การลงทุน” โดย 3 ข้อที่ต้องรู้ก่อนลงทุนในทองคำ มีดังนี้
1) รู้จักรูปแบบของทองคำที่จะลงทุน
รูปแบบของทอง หลักๆ แล้วมีทองคำอยู่ 2 แบบ คือ ทองแท่ง และ ทองรูปพรรณ โดยทั้งสองแบบมีทั้ง 96.5% และ 99.99% แต่โดยส่วนมากและมาตรฐานทองคำประเทศไทยจะกำหนดความบริสุทธิขั้นต่ำไว้ที่ทองคำ 96.5%
"ทองคำแท่ง" มีข้อดีคือ ไม่เสียค่ากำเหน็จในการซื้อขายจึงอาจมีราคาโดยรวมถูกกว่าทองคำรูปพรรณเล็กน้อยในน้ำหนักที่เท่ากัน แต่ในบางครั้งทองคำแท่งจะมีการคิดค่าบล็อก(หรือค่าพรีเมียม) แต่บางร้านทองคำแท่งขนาดแท่ง 5 บาทขึ้นไปจะไม่คิดค่าบล็อก อย่างไรก็ดีข้อด้อยของทองคำแท่งคือไม่สามารถใช้เป็นเครื่องประดับได้
"ทองคำรูปพรรณ" มีหลากหลายรูปแบบให้เลือก ทำให้มีตั้งแต่ราคาต่ำเข้าถึงง่าย ไปถึงราคาสูง และสามารถใส่เป็นเครื่องประดับได้ ทั้งนี้ การซื้อทองรูปพรรณ จะต้องเสียค่ากำเหน็จ (ค่าแปรรูปและผลิต) ในการซื้อขาย และราคาอาจตกลงเมื่อขายคืนในกรณีที่ทองมีร่องรอยการถูกใช้งาน หรือขายคืนกับคนละร้านที่ซื้อมา
ส่วน "เหรียญทองคำ" เป็นทองอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมในไทย แต่นิยมในหมู่นักลงทุนต่างประเทศ สำหรับประเทศไทยในปัจจุบันมีร้านไม่กี่ร้านที่ทำเหรียญทองออกจำหน่าย ซึ่งลักษณะสำคัญของเหรียญทองคำจะมีน้ำหนักเพียง 1 และ 2 บาท ซึ่งเป็นทางเลือกของนักลงทุนมือใหม่ที่มีทุนน้อยและต้องการออมทองคำ ทั้งนี้ราคาซื้อ-ขายของเหรียญทองคำ อยู่กึ่งกลาง ระหว่างทองคำรูปพรรณ และทองคำแท่ง คือมีค่าธรรมเนียมสูงกว่าทองคำแท่ง แต่ถูกกว่าทองรูปพรรณ
2) เข้าใจลักษณะการทำกำไรจากทองคำ
การทำกำไรจาก “ราคาทอง” มีหลายรูปแบบ ทั้งการลงทุนโดยตรงรวมไปถึงการลงทุนผ่านกองทุน ซึ่งลักษณะการทำกำไรจากทองคำหลักๆ คือการได้รับส่วนต่างราคาของทองคำซึ่งการลงทุนในทองคำมี 3 ช่องทางหลัก ที่สามารถทำได้ ดังนี้
- ลงทุนโดยตรง
ปัจจุบันการลงทุนในทองคำโดยตรงสามารถทำได้รูปแบบ ตั้งแต่เดินไปซื้อ-ขายทองที่หน้าร้านทอง การซื้อ-ขาย ผ่านอินเทอร์เน็ตโดยตรงกับระบบของร้านทองร้านใดร้านหนึ่ง หรือแม้แต่การซื้อ-ขายผ่านแพลตฟอร์มตัวกลางที่ให้บริการซื้อทองคำ
- Gold Futures (โกลด์ฟิวเจอร์ส)
Gold Futures เป็นเครื่องมือที่ผู้ลงทุนสามารถใช้ทำกำไรได้ตามความคาดการณ์ที่มีต่อราคาทองคำได้ทั้งในภาวะราคาทองขาขึ้น และราคาทองขาลง ด้วยคุณลักษณะเด่นที่สามารถซื้อก่อนขายหรือขายก่อนซื้อก็ได้ และใช้เงินลงทุนน้อย โกลด์ฟิวเจอร์ส จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการทำกำไรและกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน
ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส ได้ผ่านระบบซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์ของตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(TFEX) โดยมี บริษัท สำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ประกันการชำระราคาจากการซื้อขาย และมีสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานของตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและบริษัทสมาชิก
- กองทุนรวมทองคำ
กองทุนรวมทองคำ หรือ Gold Fund เป็นอีกทางเลือกในการลงทุนทองคำ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงจำนวนเงินขั้นต่ำสำหรับการลงทุน และรูปแบบในการลงทุนที่มีให้เลือกหลากหลาย
กองทุนรวมทองคำ เป็นการลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในทองคำ การเคลื่อนไหวของมูลค่าหน่วยลงทุนจะเป็นไปตามการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลก เปรียบเสมือนลงทุนในทองคำแท่งทางอ้อมผ่านกองทุนหลักในต่างประเทศ ซึ่งจะนำเงินไปลงทุนในทองคำแท่ง 99.99% หรือ 99.50% อีกทอดหนึ่ง มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนรวมจึงไม่ได้ขึ้นลงตามราคาทองคำในประเทศ แต่จะอิงกับราคาทองคำโลก
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : 'ทอง' ขาขึ้น กับ 3 ช่องทางลงทุนยุค 2020
3) รู้จักราคารับซื้อ-ขายออก
สำหรับราคาของทองคำในแต่ละวันสามารถติดตามราคาทองได้ที่ สมาคมค้าทองคำ โดยคำว่า “รับซื้อ” หมายถึง ราคาทองที่ร้านทองรับซื้อจากลูกค้า ส่วนค่ำว่า “ขายออก” หมายถึง ราคาทองที่ร้านทองขายให้ลูกค้า ซึ่งราคาของทองคำจะเปลี่ยนแปลงทุกวัน และมากกว่า 1 รอบ ฉะนั้นหากติดจะลงทุนเพราะต้องการทำกำไรนักลงทุนจะต้องติดตามราคาเพื่อหาจังหวะซื้อขายให้มีส่วนต่างราคา
อย่างไรก็ดี "การลงทุนในทองคำ" มีความเสี่ยง เนื่องจากทองคำเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัยอื่นๆ ทางเศรษฐกิจ ทั้งราคาน้ำมัน ความเชื่อมั่นของนักลงทุน สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกและประเทศ ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงควรศึกษาการลงทุนให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน และควรลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนที่เอาวางไว้ด้วย