'2 ทางเลือก' ฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด
รัฐบาลไทยต้องตั้งหลักให้ดีในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ มองสถานการณ์ของโลกให้ทะลุว่าการค้าโลกกำลังเดินไปในทิศทางใด จะเป็นโอกาสให้รัฐบาลกำหนดนโยบายการค้าระหว่างประเทศในแนวใหม่ แต่หากยังเลือกทางเดิม ต้องระวังความเสี่ยงสูงที่เศรษฐกิจไทยอาจฟื้นไม่ทันสถานการณ์
เมื่อ “โควิด-19” มีแนวโน้มคลี่คลาย รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจต้องเร่งดำเนินการฟื้นฟูประเทศ เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจประเทศเดินหน้า
ซึ่งมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจครั้งนี้ จะมีความยากลำบากมากกว่าครั้งใดๆ ที่ผ่านมา เนื่องจากโควิด-19 ยังไม่หมดไป และยังคงอยู่กับเราไปจนกว่าโลกจะค้นพบวัคซีนที่รักษาได้
เวลานี้การทำมาค้าขายทั้งในและต่างประเทศสะดุดหยุดลง ไม่คล่องตัวเหมือนเดิม ซึ่ง WTO คาดว่าปริมาณการค้าโลกจะหายไประหว่าง 13%-32% ในปี 2563 ในขณะที่ IMF แถลงว่าเมื่อต้นเดือน เม.ย.ประมาณการว่าเศรษฐกิจโลกจะติดลบ 3% ส่วนประเทศไทยติดลบถึง 6.7% ในปี 2563
วันนี้รัฐบาลไทยจึงต้องมีความพร้อมที่จะสู้กับการถดถอยของเศรษฐกิจไทย ที่ไม่ต่างไปจากการต่อสู้กับโควิด-19 โดยอาศัยการเปลี่ยนวิกฤตการณ์นี้ให้เป็นโอกาส ซึ่งเชื่อว่า “อยู่ในวิสัยที่รัฐบาลจะทำได้”
สำหรับการฟื้นฟู แม้เศรษฐกิจภายในจะเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำ แต่เศรษฐกิจต่างประเทศก็มีความสำคัญไม่ต่างกัน เพราะช่วยสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ เสริมภาคการเงิน การคลัง ที่ต้องใช้เม็ดเงินพัฒนาประเทศ และลดภาระเงินกู้ด้วย รัฐบาลคงต้องทำควบคู่กันไปทั้งภายในและต่างประเทศ
ในเชิงนโยบาย ที่สามารถดำเนินการกับเศรษฐกิจภาคต่างประเทศ ผมมองว่ารัฐบาลมี 2 ทางเลือก คือ
1.การขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่างประเทศในแนวทางเดิม แบบที่ทำมาตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ คือเน้นการขยายตัวของ GDP ส่งเสริมสนับสนุนการผลิตเพื่อส่งออก และการจัดสิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่การลงทุน ตลอดจนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยพัฒนาได้ดีตลอดมา
หากจะเลือกดำเนินการต่อไปในแนวทางนี้ แม้พื้นฐานเศรษฐกิจไทยจะยังดีอยู่ก็ตาม อาจไม่ช่วยให้เศรษฐกิจเกิดการขยายตัวได้เหมือนเดิม โดยเฉพาะจะเห็นได้ว่าในช่วงระยะเวลา 1 ทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวโดยเฉลี่ยน้อยมาก และล่าสุดต่ำกว่าหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน
2.การขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่างประเทศในแนวทางใหม่ หรือกล่าวกันว่าความปกติในรูปแบบใหม่ (New Normal) ที่มักถูกนำมาใช้กับเศรษฐกิจที่ถดถอยหลังวิกฤตการณ์
สำหรับ New Normal จากผลกระทบโควิด-19 ยังไม่อาจสรุปได้ว่ารูปแบบเศรษฐกิจและธุรกิจจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่เกิดความเปลี่ยนแปลงแน่นอน อย่างที่เริ่มปรากฏความเคลื่อนไหวจากการย้ายฐานการผลิต ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และ SMEs ออกจากประเทศหนึ่งย้ายไปสู่อีกประเทศหนึ่ง ที่รวมตัวกันไปอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน และใกล้ผู้บริโภคมากขึ้น หรือการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้อย่างกว้างขวางมากขึ้น ทั้งระบบอัตโนมัติอย่างหุ่นยนต์ หรือปัญญาประดิษฐ์ รวมทั้งการปรับตัวเข้าสู่เทคโนโลยีที่แข่งขันกันบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ในอัตราที่เร่งเร็วขึ้น
นอกจากนั้น ยังมีแนวโน้มสูงที่ประเทศต่างๆ จะเริ่มมีมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น การจำกัดการนำเข้า การขึ้นภาษี เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศก่อน
ผมเห็นว่าหากแนวนโยบายเศรษฐกิจต่างประเทศของไทยไม่ปรับตัวหรือพัฒนาในรูปแบบใหม่ เพื่อรองรับกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป แต่หวังที่จะเดินในแนวทางเดิม โดยคาดหวังว่าเศรษฐกิจภาคต่างประเทศจะฟื้นตัวได้เอง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตการณ์การเงินในปี 2540 และ 2551 รวมทั้งช่วงเกิดโรคระบาดในประเทศ แต่สำหรับกับโควิด-19 ครั้งนี้ จะต่างกว่ากันมาก เพราะเศรษฐกิจทุกประเทศได้รับผลกระทบ ไม่เว้นตลาดสำคัญของไทยอย่างจีน สหรัฐ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป หรืออาเซียน
รัฐบาลไทยในฐานะผู้นำในการฟื้นฟูเศรษฐกิจต้องตั้งหลักให้ดี มองสถานการณ์ของโลกให้ทะลุว่าการค้าโลกกำลังเดินไปในทิศทางใด ซึ่งในระยะหลังการค้าโลกมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เพราะเผชิญกับการแข่งขันทางการค้าที่รุนแรงขึ้น จนทำให้สหรัฐผู้ผลักดันการค้าเสรีให้โลกเดินตามมายาวนาน ลุกขึ้นมาประกาศนโยบายกีดกันทางการค้า (Protectionism) ที่เกิดจากการเสียดุลการค้ากับจีนและประเทศอื่นๆ ส่งผลกระทบที่ทำให้มูลค่าการค้าโลกชะลอตัวลงมากในไตรมาส 4 ของปี 2562 และเมื่อโควิด-19 เข้าซ้ำเติมอีก ยิ่งนำไปสู่ความไม่แน่นอนของการค้าโลก
ดังนั้น เมื่อรัฐบาลไทยพอจะคาดการณ์ได้ว่าการค้าโลกมีแนวโน้มจะไปในทิศทางใด จะเป็นโอกาสให้รัฐบาลกำหนดนโยบายการค้าระหว่างประเทศในแนวใหม่ พร้อมทั้งยุทธศาสตร์เชิงรุกที่มีความยืดหยุ่น เพื่อให้เศรษฐกิจภาคต่างประเทศของไทยกลับมามีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้นได้
แต่หากยังเลือกขับเคลื่อนในแนวทางเดิม ก็ต้องระวังความเสี่ยงสูงที่เศรษฐกิจไทยอาจฟื้นไม่ทันสถานการณ์อย่างที่หวัง