'สภาพัฒน์' จ่อหั่นจีดีพีปีนี้รับผลกระทบโควิด หลังไตรมาส1ติดลบต่ำสุดรอบ 22 ไตรมาส
สศช.หั่นจีดีพีปีนี้หลังไตรมาส1 ติดลบ ขณะที่ไตรมาส2 เผชิญช่วงโควิด-19 ระบาดสูงสุดทำได้รับผลกระทบมาก รับห่วงภาคท่องเที่ยว - ส่งออก เจอปัจจัยเศรษฐกิจโลกกดดันคาดปรับตัวลดลงรุนแรง ส่งผลให้การจ้างงานหดหายเป็นวงกว้าง
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผย "กรุงเทพธุรกิจ" ว่าในวันที่ 18 พ.ค.นี้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะแถลง ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส1/2563 พร้อมทั้งปรับประมาณการตัวเลขจีดีพีทั้งปีจากเดิมที่คาดว่าเศรษฐกิจในปี 2563 จะขยายตัวได้ 1.5 - 2.5%
โดยการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจของสศช.มาจากผลกระทบของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างรุนแรงจนไตรมาสที่ 1 ตัวเลขออกมาขยายตัวติดลบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการขยายตัวต่ำสุดต่อเนื่องในรอบ 22 ไตรมาสต่อจากไตรมาสที่ 4 ปี 2562 ที่จีดีพีขยายตัวได้ 1.6%
ทั้งนี้ สศช.ได้รายงานสภาวะเศรษฐกิจของประเทศในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2563 ว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ได้เริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยมาตั้งแต่เดือน ม.ค.ปีนี้แต่ผลกระทบด้านเศรษฐกิจมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่เดือนก.พ.เป็นต้นมา เมื่อการระบาดได้เริ่มแพร่ไปยังทวีปยุโรปและสหรัฐรวมทั้งในประเทศไทยเองมีคำสั่งในการปิดกิจการต่างๆทำให้มีจำนวนคนว่างงานเพิ่มมากขึ้น
โดยปัจจัยที่ส่งผลสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ที่ สศช.สรุปและรายงานให้ ครม.รับทราบแล้วคือ 1.ความไม่แน่นอนของการสิ้นสุดของการระบาดของโรคโควิด-19 โดยยังมีการระบาดอยู่ต่อเนื่อง และหลายประเทศที่เคยควบคุมการระบาดได้ในระดับหนึ่งแล้วแต่ก็มีการกลับมาแพร่ระบาดอีก มีปัจจัยเดียวที่จะยุติการแพร่ระบาดได้ก็คือการค้นพบวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเกิิดขึ้นเมื่อไหร่ จึงยังส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของไทยโดยเฉพาะสาขาการท่องเที่ยวที่เป็นหนึ่งในภาคบริการหลักของประเทศ
2.แนวโน้มการหดตัวของเศรษฐกิจโลก จากการประมาณการอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกจากหน่วยงานระหว่างประเทศ ณ เดือน เม.ย.2563 พบว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2563 จะหดตัวประมาณ 2 -3% ซึ่งส่งผลโดยโดยตรงต่อเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่สำคญของไทยไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว การลงทุุนและการบริโภคของภาคเอกชนภายในประเทศ ขณะที่การจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศลดลงประมาณ 70% การใช้กำลังการผลิตในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศในเดือน มี.ค.2563 เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมเครื่องดื่มปรับตัวลดลง 20% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนการลงทุนและการบริโภคของเอกชนมีแนวโน้มปรับตัวลดลง
3.ผลกระทบต่อการจ้างงานในประเทศ โดยในช่วงแรกของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กระทบต่อการจ้างงานในสาขาการท่องเที่ยวและกิจการเกี่ยวเนื่องอื่นๆที่มีแรงงานกว่า 4 ล้านตำแหน่ง และการปิดเมืองและกิจการต่างๆในช่วงเดือน มี.ค. - เม.ย.ก็ทำให้มีการว่างงานเพิ่มขึ้น ซึี่งสะท้อนผ่านข้อมูลการรับเงินประกันสังคมประมาณ 1.18 ล้านคน และมีผู้มีอาชีพอิสระที่ลงทะเบียนขอรับเงินเยียวยาจากภาครัฐประมาณ 23 ล้านคน ซึ่งผลกระทบต่อการจ้างงานในประเทศจะขยายตัวจากภาคบริการไปสู่ภาคอุตสาหกรรมบางสาขา เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ เนื่องจากการลดลงของความต้องการ (Demand) ภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่การผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆหลังโควิด-19 ก็จะส่งผลต่อการส่งออกและการจ้างงานของประเทศไทยในระยะต่อไปด้วย
นอกจากนี้ แนวโน้มความปกติใหม่ที่คาคว่จะเกิดขึ้นจากการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-ส่งผลให้ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวลงด้วยซึ่งต้องใช้ระยะเวลาอีกมากและยังส่งผลกระทบต่อรายได้ของประชาชนในระยะต่อไป
“ผลกระทบจากการระบาดที่ยังมีความไม่แน่นอนและแนวโน้มการหดตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของไทยทั้งในภาคการผลิต ภาคการบริการ และภาคการส่งออก ”
รายงานข่าวยังระบุอีกว่า ก่อนหน้านี้ สศช.ได้แจ้งต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19อย่างมากคือภาคการท่องเที่ยว โดยภายใต้สมมุติฐานว่าจีนควบคุมสถานการณ์ได้และไม่เกิดการระบาดรุนแรงในไทย การท่องเที่ยวจะกลับมาในไตรมาส3และ4 ซึ่งจะทำให้ปี 2563 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวไทยจะอยู่ที่ประมาณ 33.2 ล้านคน ลดลงจากปี 2562 ประมาณ 6.6 ล้านคน และรายได้จากการท่องเที่ยวจะอยู่ที่่1.56 ล้านล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ประมาณ 3.2 แสนล้านบาท