แกนนำพปชร. แจงเหตุต้องปรับ กก.บห. เพื่อขยับพร้อมรับเลือกตั้งอีก3ปี

แกนนำพปชร. แจงเหตุต้องปรับ กก.บห. เพื่อขยับพร้อมรับเลือกตั้งอีก3ปี

"สมศักดิ์" ยันไม่มีขัดแย้งในพรรค ระบุเหตุต้องปรับ กก.บห. เพื่อขยับพร้อมรับเลือกตั้งอีก3ปี

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม  ฐานะแกนนำพรรคพลังประชารัฐ แถลงที่ร้านกินเส้น สนามบินน้ำ ต่อประเด็นความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ และการปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ โดยยืนยันว่าการปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารภายในพรรคนั้น ไม่มีความขัดแย้งหรือการทะเลาะกัน ทั้งนี้เหตุผลสำคัญ​ คือ การปรับเปลี่ยนพรรคให้มีความกระฉับกระเฉง เพื่อก้าวไปสู่การเป็นพรรคการเมืองอันดับหนึ่ง จากปัจจุบันที่พรรคพลังประชารัฐ เป็นพรรคการเมืองอันดับสอง และเตรียมความพร้อมต่อการเลือกตั้ง ใน 3 ปีข้างหน้า

 

นายสมศักดิ์  กล่าวด้วยว่าส่วนกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ เป็นแคนนิเดตห้วหน้าพรรคนั้น ขึ้นอยู่กับการเลือกของสมาชิกพรรค ทั้งนี้ตนเชื่อว่า พล.อ.ประวิตร อาจไม่อยากเป็นหัวหน้าพรรค แต่อาจถูกสมาชิกร้องขอ ทำให้คนที่ไม่อยากเป็น ต้องจำเป็นรับตำแหน่ง

 “พล.อ.ประวิตรคงไม่เป็นตลอดไป อาจเป็น 5 ปี เพื่อสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองให้เกิดขึ้น แต่การเลือกกรรมการบริหารพรรคอาจมีคนไม่สมหวังทั้งหมด   ส่วนที่หลายคนมองว่าพล.อ.ประวิตร มีจุดอ่อนเพราะกรณีของนาฬิกาหรูนั้น เป็นสิ่งที่สมาชิกพรรคจะเป็นผู้ที่พิจารณาในภาพรวม แต่ผมมองว่าพล.อ.ประวิตร มีจุดแข็งที่สามารถนำนโยบายพรรคไปสู่การบริหารของคณะรัฐมนตรีได้” นายสมศักดิ์ กลาว

 

นายสมศักดิ์ ยืนยันด้วยว่าความสัมพันธ์ของตนกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ  นั้นยังเหมือนเดิม แต่การเลือกผู้บริหารพรรคนั้นต้องเป็นไปตามแนวทางและนโยบายที่ยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง รวมถึงมองภาพรวมของการทำงานของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้การปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เป็นไปได้ที่จะปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)  เพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด หลังจากที่พรรคการเมืองต่างๆ ได้รับโควต้าในกระทรวงต่างๆ แล้ว ทั้งนี้กรณีที่ไม่ตอบสนองประชาชนต้องอาศัยโควต้ากลางเพื่อทำงานที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในชนบท เช่น กระทรวงมหาดไทย ส่วนตนนั้นไม่เป็นปัญหา เพราะยึดการทำงานการเมืองที่ประชาชนมีความสุขและเป็นไปตามนโยบายของนายกฯ ฐานะหัวหน้ารัฐบาล

 

“การปรับเปลี่ยนให้เป็นพรรคการเมืองเบอร์หนึ่ง ต้องขยับ เพื่อเพิ่มความกระฉับกระเฉงและมุ่งมั่นเพื่อเป็นหลักในทางการเมือง ดังนั้นการปรับปรุงพรรคต้องหนักแน่น มั่นคง นำไปสู่การเป็นเสาหลักของประเทศ ซึ่งการปรับปรุงพรรรคนั้นเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ ส่วนกรรมการบริหารพรรคชุดเก่าสามารถกลับเข้าดำรงตำแหน่งได้ หากสมาชิกพรรคลงคะแนนเลือก   ทั้งนี้ก่อนการเลือกตั้งรอบที่ผ่านมา พรรคพลังประชารัฐเป็นเหมือนเม็ดกรวด เม็ดทราย ที่หล่อหลอมรวมกันด้วยความร้อนก่อนตกผลึกเป็นอัญมณี แต่จากนี้คือ การเจียรไนให้มีคุณค่ากับประเทศ เพื่อเป็นที่ยอมรับของประชาชน โดยไม่มีความขัดแย้งใดๆภายในพรรค” นายสมศักดิ์ กล่าว

นายสมศักดิ์ ยังเรียกร้องไปยังสมาชิกพรรคยุติการสัมภาษณ์ ที่ทำให้สังคมเข้าใจผิด และลงพื้นที่เพื่อรับฟังความต้องการของประชาชน ต่อการแก้ปัญหาเรื่องต่างๆ  ก่อนจะนำเป็นข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกผู้บริหารพรรคชุดใหม่ และกำหนดนโยบายของพรรคให้ตอบโจทย์ของการเป็นพรรคการเมืองอันดับหนึ่งของประเทศ ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ สั่งให้เก็บข้อมูลพื้นฐานของประชาชนเพื่อกำหนดเป็นแนวนโยบายแก้ปัญหา ซึ่งตนเชื่อว่าการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคจะทำให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้น

 

“การลาออกของ 18 กรรมการบริหารพรรคนั้นเป็นเทคนิคทางกฎหมาย อย่านำไปเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ลาออก เพราะนักการเมืองให้เกียรติกัน อย่างไรก็ดีผมยืนยันว่าภายในพรรคมีมีทะเลาะ ส่วนที่ใครมองว่ากรณีที่เกิดขึ้นเหมือนกับการฆ่าโคทึก เมื่อเสร็จนา นั้นหากของเดิมทำให้ประชาชนพอใจ ชุดเก่าสามารถเข้ามาได้  แต่ผมมองว่าคนที่คิดแบบนั้นเป็นการมองในมุมแคบ และเอาประโยชน์ของคนบางกลุ่มบางพวก ไม่ใช่พรรคการเมืองที่ต้องมีความยืดหยุ่นและปรับโครงสร้างเพื่อให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น” นายสมศักดิ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่เกิดขึ้นมองหรือไมว่าจะมีคนไม่พอใจออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ นายสมศักดิ์ กล่าว่า มีเสมอไป แต่คนที่ออกไปอาจขาดใจตายได้ เพราะรัฐบาลชุดปัจจุบันต้องอยู่บริหารไปอีก 3 ปี กว่าจะมีเลือกตั้งอีกรอบ เพราะตนเชื่อว่ารัฐบาลจะอยู่ครบ4 ปี เพราะกระแสความนิยมของนายกฯ ดีขึ้นกว่าในอดีต

 

ถามต่อว่ากรณีที่พล.อ.ประวิตรเป็นผู้นำพรรคจะยุติความขัดแย้งในพรรคได้หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวยืนยันว่าในพรรคไม่ใช่ความขัดแย้ง แต่เป็นความเห็นทางการเมืองและนโยบายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ตนไม่มีความขัดแย้งกับใคร ทั้งนี้การปรับเปลี่ยนโครงสร้างของพรรค เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่การเตรียมการเลือกตั้งในอีก 3 ปีข้างหน้า ตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการปรับนโยบายและแก้ปัญหาต่างๆ   รวมถึงปรับให้พรรคเป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับ