บทพิสูจน์ 'นารีขี่ม้าขาว' หรือ 'นางฟ้าตกสวรรค์'

บทพิสูจน์ 'นารีขี่ม้าขาว' หรือ 'นางฟ้าตกสวรรค์'

"นฤมล ภิญโญสินวัฒน์" บทพิสูจน์ "นารีขี่ม้าขาว" หรือ "นางฟ้าตกสวรรค์"

พลันที่ “อนุชา นาคาศัย” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ลงทุนโปรโมท “ดรีมทีมเศรษฐกิจ” ของพรรค นำโดย “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” เป็นหัวหน้าทีม ทำเอาคอการเมืองที่ติดตามอยู่ริงไซด์ ส่งเสียงฮือฮาไม่น้อย นับเป็นการส่งสัญญาณว่าพรรคพลังประชารัฐวันนี้ไม่มีอะไรต้องพึ่งมันสมองของกลุ่ม “4 กุมาร” อีกต่อไป

“นฤมล” เป็นคนหนึ่งที่ถูกพูดถึงกันว่า มีส่วนช่วยคิดนโยบายรัฐบาล และ “พปชร.” ในการสู้ศึกเลือกตั้งที่ผ่านมา แต่บางกระแสบอกว่า “อ.แหม่ม” หรือ “เจ๊แหม่ม” ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมาย แต่มาถึงวันนี้ “เจ๊แหม่ม” เหมือนกำลังติดปีก มีหน้ามีตา มีบทบาทในพรรคมากขึ้น เมื่อรู้ทางลมว่าอยู่ตรงไหน กับใคร และทำอย่างไร ถึงจะทำให้เธอได้บินสูงอย่างที่ฝัน เพื่อสัมผัสกับการมีอำนาจในมือสักครั้งในชีวิต

จากที่เคยใช้ชีวิตนักวิชาการ ก่อนถูก “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ดึงเข้าสู่แวดวงการเมือง สมัย “รัฐบาลคสช.” ให้มาช่วยงานเป็น “ผู้ช่วยรัฐมนตรีคลัง” ยุค “อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” ก่อนจะออกไปร่วมงานกับ “พปชร.” ตั้งแต่เพิ่งตั้งไข่เสร็จหมาดๆ ช่วงนั้น “เจ๊แหม่ม” ยังโนเนมในทางการเมือง ก็มักจะเห็นติดสอยห้อยตาม อดีตหัวหน้าพรรค “อุตตม สาวนายน” แทบจะเป็นเงาตามตัว

หากจำกันได้ ตอนที่ “พปชร.” กำลังจัดลำดับ “ส.ส.บัญชีรายชื่อ” คนที่ดันให้ “เจ๊แหม่ม” ได้อยู่ในลำดับที่ 5 จนได้เป็น “ส.ส.” หนแรกในชีวิต ก็คือ “สมคิด” เพราะมีเสียงเล่าลือกันในพรรคว่า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ไม่อยากให้ปาร์ตี้ลิสต์ 10 อันดับแรก มีแต่นักการเมือง หวยถึงมาออกที่ “เจ๊แหม่ม” แทรกอยู่ตรงนั้น

พอได้เข้าสภาก็ทำหน้าที่อยู่เดี๋ยวเดียว เมื่อได้รับการผลักดันจาก “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ให้เป็น “โฆษกรัฐบาล” ด้วยเหตุผลหนึ่ง คือ รู้ภาษาอังกฤษ จนเธอตัดสินใจลาออกจากการเป็น ส.ส. เพื่อเป็น “โทรโข่งรัฐบาล” เต็มตัว และถือเป็นการส่งสัญญาณว่าไม่มีอะไรติดค้างกับ “สมคิด” ที่ปลุกปั้นมา ด้วยการทิ้งตำแหน่ง ส.ส.

แม้การทำหน้าที่ “โฆษกรัฐบาล” ไม่ว่าใครจะมองว่าผลงานดีเข้าตา หรือมีเสียงวิจารณ์อย่างไรก็แล้ว ไม่ได้บั่นทอนความทะเยอทะยานในตัว “เจ๊แหม่ม” หนำซ้ำ คำติติงแง่ลบเหล่านั้นกลับเป็นแรงผลักดันชั้นดีสำหรับเธอคนนี้ และด้วยความสามารถพิเศษที่พาตัวเองเข้าถึงผู้ใหญ่ได้ดี ไม่แปลกที่จะเห็นยืนขนาบข้าง “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ตั้งแต่ก่อนเป็นหัวหน้าพรรคพปชร. ทั้งที่บางงาน คนเป็น “โฆษกรัฐบาล” ต้องติดตาม “นายกฯ” ไปตามงานต่างๆ แต่กลับเลือกอยู่หลัง “บิ๊กป้อม” แทน

ว่ากันว่า ตอนนี้ “เจ๊แหม่ม” อัพเลเวล สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นเลขานุการส่วนตัวของบิ๊กป้อม อย่างไรอย่างนั้น

ใครจะไปใครจะมาเพื่อเข้าพบ “บิ๊กป้อม” ต้องแจ้งเจ๊ก่อนเพื่อจัดคิว ไม่เว้นแม้แต่คนใน “พปชร.” และจะคอยประกบไม่ห่าง ไม่ปล่อยให้คนที่เข้าพบ “บิ๊กป้อม” คุยกันแบบส่วนตัว จะต้องมีเธอเป็นวอลเปเปอร์อยู่เสมอ

สถานการณ์ใน “พปชร.” ตอนนี้ที่มีแต่นักการเมือง ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจจากพิษ “โควิด-19” ตัวเลือกในพรรคที่จะคิดแผนแก้ปัญหาแทบไม่มี ไม่แปลกที่ชื่อ “เจ๊แหม่ม” จะถูกโยนออกมา ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตาม แต่สังคมจับตาและตั้งหวังเอาไว้สูงลิบ ว่านโยบายเศรษฐกิจที่จะออกมานั้น จะตอบโจทย์วิกฤตินี้ได้จริง และชั่วโมงนี้ “เจ๊แหม่ม” ถือว่าได้โอกาสแสดงฝีมือเต็มตัว

หากนำทีมแก้ความเดือดร้อนของคนทุกกลุ่มให้ประเทศตอนนี้ได้ ทำไมจะยกย่อง “เจ๊แหม่ม” ไม่ได้ ในทางกลับกัน ถ้าเกิดว่าเป็นพวกดังแต่ท่อ ล้อไม่หมุน ได้โอกาสแล้วทำไม่ได้ คงจบเห่ งานนี้จะได้รู้มือกันไป ใครของจริงของปลอม

เรื่องนี้แกนนำใน “พปชร.” หลายคนก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า “เจ๊แหม่ม” จะได้รับบทนี้ แต่มีแกนนำบางคนให้ข้อสังเกตเอาไว้ว่า “เศรษฐกิจต้องแก้ด้วยสตางค์ คนแก้คราวนี้ต้องเก่ง และเสียสละชื่อเสียงสุดชีวิต ทำอะไรตามระบบการเงินแบบเดิม แข่งขันในตลาดเดิมที่เคยทำมาไม่ได้อีกแล้ว ต้องคิดใหม่ คิดใหญ่ คิดนอกกรอบ”

ปัญหาเศรษฐกิจเที่ยวนี้เดิมพันสูงมาก ท่ามกลางผู้คนตกงาน เป็นหนี้ เอสเอ็มอีขาดสภาพคล่อง คนทั่วไปเงินขาดมือ นอกจากนี้ ยังจะเป็นบทพิสูจน์ “เจ๊แหม่ม” ของจริง ว่า ระดับมันสมองนักเรียนนอก เป็นนักวิชาการ จะสามารถพลิกฟื้นวิกฤติได้หรือไม่

ถ้าทำได้ ก็คงเป็น “นารีขี่ม้าขาว” คนใหม่ แต่ถ้าไม่ได้ คงปิดฉากความฝันขึ้น “เสนาบดี” กลายเป็น “นารีตกสวรรค์” ก็เป็นได้