‘พริมา มารีน’ โตสวนวิกฤติโควิด มั่นใจผลงานปีนี้ทำ ‘นิวไฮ’

‘พริมา มารีน’ โตสวนวิกฤติโควิด  มั่นใจผลงานปีนี้ทำ ‘นิวไฮ’

ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้หลายบริษัทที่เคยมี “กำไรสุทธิ” มาโดยตลอดต้องพลิกมาขาดทุน แต่ในเวลาเดียวกันก็มีหลายบริษัทที่ แม้จะเผชิญผลกระทบแต่ยังสามารถรักษาการเติบโตของกำไรสุทธิเอาไว้ได้ต่อเนื่อง หนึ่งในบริษัทเหล่านี้ คือ บมจ.พริมา มารีน

สำหรับทิศทางธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะทำสถิตินิวไฮใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีแรงหนุนหลักจากธุรกิจ FSU ที่ยังมีอัตราการเติบโตโดดเด่น เพราะได้รับอานิสงส์จากการความต้องการเรือขนส่งไปและกักเก็บน้ำมันมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้จำนวนเรือที่ให้บริการมีจำนวนลดลงและค่าบริการปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งในส่วนของบริษัทยังคงเน้นลูกค้าที่กักเก็บน้ำมันเตาและผสมน้ำมันให้สอดรับกับเกณฑ์ IMO2020 รวมถึงทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเชื่อว่าจะสนับสนุนให้การขนส่งปิโตรเลียมขยายตัวตามไปด้วย

“วิกฤติครั้งนี้ กลายเป็นโอกาส เพราะเป็นจังหวะดีที่บริษัทได้ขยายงานด้านธุรกิจ FSU ไว้ ก็เลยส่งผลให้บริษัทได้รับอานิสงส์ไปเต็มๆ”

ส่วนด้านธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันในประเทศ คาดว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2/2563 ไปแล้ว เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันทั้งการขนส่งในประเทศและน้ำมันอากาศยานลดลง อย่างไรก็ตามคาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 3-4 ปีนี้ หลังจากปัจจุบันมีวอลุ่มฯเพิ่มขึ้นมาราว 5-10% หรือราว 550 ล้านลิตรต่อเดือน 

ประกอบกับคาดว่าปีนี้ปริมาณการขนส่งน้ำมันจะขยับขึ้นมาเป็นระดับ 600 ล้านลิตรต่อเดือน จากปีก่อนที่ทำได้ 450 ล้านลิตรต่อเดือน เพราะส่วนแบ่งทางการตลาดหรือมาร์เก็ตแชร์ของบริษัทที่ปรับตัวสูงขึ้น

ด้านแผนการขยายกองเรือนั้น คาดว่าปีนี้จะซื้อเรือใหม่เพิ่มขึ้นอีก 3 ลำ ซึ่งคิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 2,300 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเรือแบบ FSU จำนวน 2 ลำ และเรือขนส่งกลุ่มเรือขนาดเล็กจำนวน 1 ลำ ซึ่งเบื้องต้นได้ซื้อเรือใหม่เข้ามาแล้วจำนวน 1 ลำที่ประเทศจีน แต่ยังติดปัญหารอการส่งมอบอยู่ จากปัญหาโควิด-19 ส่งผลให้การเดินทางไปรับมอบเรือที่ประเทศจีนทำได้ไม่สะดวกและล่าช้า แต่คาดว่าจะดำเนินการได้เสร็จทันภายในช่วงไตรมาส 3/2563

“เป้าหมายในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าคาดว่ารายได้จะโตประมาณ 20-25% ต่อปี แต่ปีนี้อาจโตมากกว่านั้น เพราะธุรกิจ FSU ที่ขยายตัวมาก และคาดว่าจะทำนิวไฮจากปีก่อน ส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลคาดว่าหากมีกำไรมากก็คงจะปันผลมาก ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทจ่ายปันผลกว่า 500 ล้านบาท”

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีที่อยู่ระดับ 1,000 ล้านบาท จึงทำให้บริษัทกำลังศึกษาการเอาเงินส่วนนี้ไปลงทุนในการซื้อกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจขนส่งและนำมาบริหารต้นทุนทางการเงิน 

นอกจากนี้บริษัทยังสนใจการเข้าไปรุกธุรกิจการขนส่งก๊าซธรรมชาติ (LNG) เพราะเชื่อว่าจะเป็นเทรนด์พลังงานในอนาคตและบริษัทยังไม่เคยทำธุรกิจด้านนี้ โดยเบื้องต้นยอมรับว่าบริษัทได้มีการศึกษาและเข้าไปเจรจากับ บมจ.ปตท.(PTT) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บ้างแล้ว