ภาคธุรกิจรับอานิสงส์มาตรการรัฐ “ค้าปลีก-อุปโภคบริโภค-ท่องเที่ยว” ชี้ “คนละครึ่ง” ปลุกเศรษฐกิจฐานราก บรรยากาศจับจ่ายคึกคัก สัญญาณบวกไต่ระดับฟื้นตัว เดินหน้าอัดฉีดงบ โหมแคมเปญโปรโมชั่น “ลดแลกแจกแถม” ทิ้งทวน หวังเป็นแรงส่งดันกำลังซื้อขาขึ้น
มาตรการรัฐเพื่อกระตุ้นการบริโภคและขับเคลื่อนเศรษฐกิจทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องถือเป็นยาแรงกระตุ้นบรรยากาศการจับจ่ายเริ่มขยับ เป็นสัญญาณบวกว่าเครื่องยนต์เศรษฐกิจเริ่มทำงาน ทำให้บรรดาผู้ประกอบการฮึดออกแรงทิ้งทวน ทุ่มเม็ดเงินก้อนใหญ่ระดมบิ๊กอีเวนท์ แคมเปญโปรโมชั่น ช่วงชิงยอดขายและเป็นแรงส่งคง “มู้ดแอนด์โทน” ที่ดีต่อเนื่องในปีหน้า
นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการตลาดบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลพลาซา, เซ็นทรัลเฟสติวัล, เซ็นทรัล ภูเก็ต และเซ็นทรัล วิลเลจ กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการทำตลาดเชิงรุกของผู้ประกอบการทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บรรยากาศการจับจ่ายขณะนี้กลับมาดีขึ้น มีความคึกคักโดยเฉพาะในกลุ่มร้านค้ารายย่อยที่มีการใช้จ่ายอย่างแพร่หลายซึ่งมาจากโครงการคนละครึ่ง ผ่าน “เป๋าตัง”
“โครงการคนละครึ่งและเป๋าตังเวลานี้มีการใช้จ่ายอย่างแพร่หลาย ผู้บริโภครู้สึกว่าใช้ง่าย ได้ส่วนลดเยอะ ทำให้มู้ดแอนด์โทนทั้งระบบดีขึ้น ประกอบกับมีมาตรการต่างๆ ของภาครัฐรอบด้านเจาะตรงแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ทำให้การใช้จ่ายขยับดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นแรงส่งที่ดีในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ที่ผู้ประกอบการค้าปลีกต่างอัดฉีดแคมเปญอย่างเต็มที่”
สำหรับ เซ็นทรัลพัฒนา ทำโปรโมชั่นและอีเวนท์รวมกว่า 1,000 อีเวนท์ ตั้งแต่วันที่16 พ.ย.นี้ ถึง 10 ม.ค. 2564 ผ่านเครือข่ายศูนย์การค้าทั้ง 33 แห่งทั่วประเทศ ภายใต้แคมเปญใหญ่ “The Magical Lights 2021 มหัศจรรย์แสงแห่งความสุข”
โดยวันที่ 24 พ.ย.นี้ จะมีการจัดงานเปิดไฟต้นคริสต์มาส สัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นเทศกาลแห่งความสุข มีไฮไลท์ต้นคริสต์มาสสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขนาด 40 เมตร ตั้งอยู่บริเวณลานด้านหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ใจกลางกรุงเทพฯ จะเป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กและเครื่องมือในการกระตุ้นบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองและดึงดูดผู้คนออกมาใช้จ่ายที่ศูนย์การค้าซึ่งสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากมาตรการรัฐโครงการช้อปดีมีคืน ใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาทนำมา ลดหย่อนภาษีประจำปี 2563 ได้ โดยไตรมาส 4 นี้ ใช้งบลงทุนด้านการตลาด 400 ล้านบาท
ผนึกดิสนีย์สร้างสีสัน
นายสเตฟาน จูเบิร์ท Head of Marketing-Brand communication บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด และ บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า โรบินสันเดินหน้ากระตุ้นการจับจ่ายนักช้อปอย่างต่อเนื่องผ่านหลากหลายแคมเปญการตลาดเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยเฉพาะตลาดค้าปลีกของไทย และความต้องการจับจ่ายของนักช้อปในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างเทศกาลปีใหม่ ที่ปกตินักช้อปจะมีความต้องการใช้จ่ายสินค้าสูงในหลายๆ กลุ่มสินค้า เพื่อเป็นของขวัญ ของกำนัล หรือเพื่อใช้ในการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงปลายปี
ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายของนักช้อปให้มีความคึกคักควบคู่กันไป ได้เปิดบิ๊กแคมเปญ “โรบินสัน เมจิคอล เซเลเบรชั่น” ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย.2563_6 ม.ค.2564 ที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน 47 สาขาทั่วประเทศ ยกเว้นสาขาสุขุมวิท และจังซีลอน ป่าตอง พร้อมไฮไลท์ครั้งแรกของการจับมือกันระหว่าง โรบินสัน และ “ดิสนีย์ ประเทศไทย” สร้างประสบการณ์ความสุขในการชอปปิงในช่วงเทศกาลปีใหม่ผ่านหลากหลายสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟในคอลเลคชั่นมิคกี้ เมาส์ และมินนี่ เมาส์ ลายลิขสิทธิ์จากดิสนีย์ ประกอบด้วยกลุ่มสินค้าแฟชั่น เครื่องประดับ เครื่องสำอาง สินค้าเด็ก สินค้าเครื่องใช้และของตกแต่งบ้าน รวมทั้งกลุ่มสินค้าเฮ้าส์แบรนด์
“เป็นครั้งแรกของการร่วมมือกันระหว่างโรบินสันและดิสนีย์ประเทศไทยไม่ว่าจะเป็น สินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกาย แอคเซสซอรี่ ทั้งบุรุษ สตรี เด็ก และสินค้ากระเป๋าเดินทางอีกทั้งยังมีสินค้าแลกซื้อ ลายลิขสิทธิ์จากดิสนีย์เมื่อช้อปตั้งแต่500บาท ขึ้นไป และร่วมกันออกแบบลายกระดาษห่อของขวัญ ถุงกระดาษ การ์ดอวยพรเพื่อทำให้เทศกาลปีใหม่นี้ เป็นอีกหนึ่งปีที่พิเศษและน่าประทับใจ”
โหมลดแลกแจกแถม
โรบินสันยังร่วมกับพันธมิตรจัดดีลพิเศษ อาทิ สมาชิกเดอะวันแลกรับคูปองส่วนลดสูงสุด 50% เมื่อใช้คะแนนแลกตามเงื่อนไข ลูกค้า AIS และ AIS FIBRE รับคูปองส่วนลด15-50% เอไอเอส เซเรเนด รับสิทธิ์เพิ่มเป็น 2 ใบ ลูกค้าสายการบินเวียตเจ็ทรับคูปองส่วนลดสูงสุด 50% เมื่อแสดงบอร์ดดิ้งพาส นักช้อปออนไลน์พบกับสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟในคอลเลคชั่นมิคกี้เม้าส์ และมินนี่เมาส์ ลายลิขสิทธิ์ จากดิสนีย์ให้เลือกช้อป เมื่อซื้อตามเงื่อนไขรับส่วนลดเพิ่ม
พร้อมเนรมิตบรรยากาศและกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่มากกว่าการชอปปิง โดยวันที่ 4 ธ.ค. จะมีงานฉลองเปิดไฟต้นคริสต์มาสเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นเทศกาลแห่งความสุข
“โรบินสัน มั่นใจว่าความพิเศษของแคมเปญ และบรรยากาศที่สนุกสนานในช่วงเทศกาลปีใหม่ จะส่งผลให้บรรยากาศการจับจ่ายของนักช้อปในช่วงปลายปีคึกคักและมีสีสันมากขึ้น ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เป็นไปในทิศทางที่ดีอีกด้วย”
ธุรกิจอาหารรับผลบวก
นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการสำนักกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน)หรือ TFMAMA กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการคนละครึ่ง โครงการเที่ยวด้วยกัน และการใช้จ่ายผ่านแอพพลิเคชั่นเป๋าตังค์ต่างๆ ถือว่าช่วยปลุกการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคได้รับอานิสงส์ด้วย แต่หมวดไหนจะได้ประโยชน์มากน้อยขึ้นอยู่กับความจำเป็นของผู้บริโภค ซึ่งโดยทั่วไปสินค้าที่ได้ผลดีจะเป็นเครื่องปรุงรส บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ข้าวสาร เป็นต้น
นอกจากนี้ ไม่เพียงแค่สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ แต่บรรดาร้านอาหารก็ได้รับผลบวกด้วย อย่างมาตรการคนละครึ่ง ที่รัฐช่วยจ่าย 150 บาทต่อวัน ทำให้ผู้บริโภคใช้เงินซื้อสินค้าจากร้านอาหารมากขึ้นในทุกๆวัน
ส่งสัญญาณธุรกิจฟื้นตัว
ทั้งนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงไตรมาสสุดท้ายเป็นช่วงเทศกาบจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้สัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจ การค้าในไตรมาส 4 ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ที่ผ่านมากำลังซื้อผู้บริโภคไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้คนอยู่บ้าน ทำงานที่บ้านมากขึ้น ไม่ได้ออกมาจับจ่ายใช้สอยมากนัก ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ ทั้งโครงการคนละครึ่ง การท่องเที่ยว ช่วยให้คนใช้จ่ายมากขึ้น แม้จะมีประชาชนบางส่วนมีกำลังซื้อลดลงจากการว่างงาน โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรม”
สำหรับผลประกอบการบริษัทช่วง 9 เดือน มียอดขายกว่า 18,000 ล้านบาท เติบโตราว 5% กำไรสุทธิกว่า 3,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% ส่วนปีก่อนยอดขายกว่า 25,000 ล้านบาท กำไรสุทธิกว่า 3,900 ล้านบาท ด้านภาพรวมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ผ่านมา ตลาดเติบโตเพียง 1.8%
‘เป๋าตัง’เร่งตัดสินใจซื้อ
แหล่งข่าวจาก บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งถือว่าช่วยทำให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งจากการสอบถามผู้บริโภค บางรายจะซื้อขนมปังราคา 120 บาท เดิมจะใช้เวลาในการตัดสินใจนาน แต่เมื่อรัฐช่วยออกคนละครึ่ง ทำให้จ่ายเงินเพียง 60 บาท จะตัดสินใจซื้อทันที
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากำลังซื้อ และยอดขายสินค้า เช่น เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์อยู่ในแดนลบ เพราะช่องทางจำหน่ายบางส่วนถูกปิดในช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาดหนัก แต่ปัจจุบันเปิดให้บริการปกติ จึงปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน
“กำลังซื้อผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น หากมองดูตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ถือว่าอยู่ในหมวดที่ดี เพราะผู้บริโภคตื่นมาอย่างแรกดื่มกาแฟ และปัจจุบันเทรนด์การซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ ดีลิเวอรีขยายตัวมาก ผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินเพื่อซื้อเครื่องดื่ม 1 แก้ว นั่นหมายถึงกำแพงราคาไม่มีผลมากนัก เมื่อแลกกับความสะดวก”
จับจ่ายระหว่างท่องเที่ยวคึกคัก
นายชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ ผลักดันการจับจ่ายในประเทศเดินหน้าได้ในทันที ส่งผลดีต่อธุรกิจเอสเอ็มอี ร้านค้ารายย่อย และร้านค้าภายในชุมชนอย่างมาก ต่อเนื่องไปถึงส่งผลดีต่อการจับจ่ายของคนไทยระหว่างเดินทางท่องเที่ยวด้วย
ส่วนโครงการเราเที่ยวด้วยกันซึ่งอยู่ภายใต้แนวคิดรัฐช่วยจ่าย (Co-payment) เช่นกันนั้น ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.2563 จากข้อมูลหน้าเว็บไซต์ เราเที่ยวด้วยกัน.com ล่าสุดพบว่ามีจำนวนสิทธิที่พักเหลือ 1.4 ล้านสิทธิ (คืน) จากโควตาทั้งหมด 5 ล้านสิทธิ (คืน) ส่วนจำนวนสิทธิตั๋วเครื่องบินเหลืออยู่ที่ 1.7 ล้านสิทธิ จากโควตาทั้งหมด 2 ล้านสิทธิ
“มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของรัฐมีส่วนช่วยผลักดันกระแสการเดินทางท่องเที่ยวในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ให้กระเตื้องขึ้นได้แน่นอน เสริมกับปัจจัยบรรยากาศท่องเที่ยวที่เข้าสู่ไฮซีซั่น แหล่งท่องเที่ยวฟื้นฟูตัวเองกลับมาสวยงามอีกครั้ง"
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและโรงแรมต่างโหมแคมเปญ “ลดราคา” เพื่อจูงใจนักท่องเที่ยวไทยใช้บริการในช่วงที่รัฐบาลยังดำเนินนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างจำกัด สทท. คาดการณ์ว่าไฮซีซั่นนี้จะมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยที่ 40% ลดลงจากไฮซีซั่นในปีปกติซึ่งอยู่ที่ 90%
ขยายฐานกลุ่มใช้จ่ายใหม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองผลการดำเนินงานโครงการเราเที่ยวด้วยกันอีกมุมหนึ่ง จะพบว่ามีจำนวนสิทธิทั้งที่พักและตั๋วเครื่องบินของโครงการเราเที่ยวด้วยกันคงเหลือจำนวนมาก เป็นเพราะนักท่องเที่ยวบางกลุ่มเข้าไม่ถึงการใช้สิทธิ เช่น นักท่องเที่ยวกลุ่มสูงวัย ซึ่งมีกำลังซื้อและเวลาท่องเที่ยว แต่ไม่ถนัดเรื่องการใช้เทคโนโลยี
สทท.จึงสนับสนุนให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ผลักดันโครงการ “สูงวัยใจออนทัวร์” ที่สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) เสนอก่อนหน้านี้ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มสูงวัยหรือวัยเกษียณออกเดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดากับบริษัทนำเที่ยว
โดยคาดว่ามาตรการเที่ยวปันสุขน่าจะมีเงินเหลือจากวงเงินของโครงการเราเที่ยวด้วยกันและโครงการกำลังใจ ซึ่งพา อสม.ท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งสามารถนำเงินที่เหลือไปใช้กระตุ้นผ่านการขยายสิทธิและเพิ่มเงื่อนไข หรือโครงการย่อยใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง จากกรอบวงเงินรวมของมาตรการเที่ยวปันสุขซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 2.24 หมื่นล้านบาท