ใครได้ ใครเสีย จากความสำเร็จของ 'วัคซีนโควิด-19'?
ความคืบหน้า "วัคซีนโควิด-19" ถือเป็นข่าวดีของทุกประเทศที่ต้องเผชิญเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์มานานเกือบปี นอกจากนี้ตลาดหุ้นยุโรปและไทยต่างก็ได้อานิสงส์จากข่าววัคซีนเช่นกัน ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เคยได้ประโยชน์ช่วงก่อนหน้ากลับให้ผลตอบแทนน้อยกว่า
ของขวัญปีใหม่ที่คนทั่วโลกรอคอยกำลังจะมาถึงและเร็วกว่าทุกๆ ปี ...เพราะในเดือนพฤศจิกายนที่พึ่งผ่านไป มีบริษัทที่ประกาศความสำเร็จในการทดลองวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ใน Phase 3 หรือการทดลองในกลุ่มตัวอย่างจำนวนมากแล้วถึง 3 บริษัท คือ
1. Pfizer ร่วมกับ BioNTech พบว่า 95% ของผู้เข้าร่วมทดลองมีภูมิคุ้มกันจากโรคโควิด-19 โดยวัคซีนของค่ายนี้เป็นแบบ mRNA ซึ่งผลิตจากชิ้นส่วนสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส แต่จะมีข้อจำกัดในการขนส่ง เพราะวัคซีนต้องอยู่ในอุณหภูมิต่ำกว่า -70 องศาเซลเซียส
2. Moderna ผลิตวัคซีนแบบ mRNA เช่นเดียวกัน และมีอัตราความสำเร็จที่ 94.5% วัคซีนค่ายนี้ได้เปรียบตรงที่สามารถเก็บในอุณหภูมิเพียง 2-8 องศาเซลเซียสได้นานถึง 30 วัน
3. AstraZeneca ร่วมกับมหาวิทยาลัย Oxford คิดค้นวัคซีนแบบ Viral vector คือ การฉีดเชื้อไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนแอลงเข้าไปในร่างกายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน พบว่าวัคซีนได้ผล 70.4% และมีจุดเด่นที่ราคาถูกกว่าวัคซีนของค่ายอื่น
ขณะนี้บริษัทผู้ผลิตวัคซีนได้ขออนุมัติจากองค์กรด้านสุขภาพเพื่อใช้เป็นกรณีฉุกเฉินแก่บุคลากรทางการแพทย์ก่อน และในลำดับถัดไปถึงจะจำหน่ายวัคซีนในวงกว้าง ซึ่งความสำเร็จของวัคซีนนี้เป็นความหวังที่จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินเป็นปกติได้
ตั้งแต่มีข่าวความสำเร็จของวัคซีน ตลาดหุ้นก็ตอบรับในทันที โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับเพิ่ม +3.2% นำโดยหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์สูงจากความสำเร็จของวัคซีนซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มวัฏจักร (Cyclical) ที่ผลประกอบการมักจะพลิกฟื้นได้หากเศรษฐกิจกลับมาเปิดเป็นปกติ เช่น กลุ่มการเงิน +11.7% กลุ่มพลังงาน +25.6% รวมทั้งหุ้นกลุ่มที่ราคาปรับตัวลงแรงจากการปิดเมือง อย่างโรงแรมและสายการบินที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นถึง +23% (ราคาตั้งแต่วันที่ 9 ถึง 30 พฤศจิกายน)
หากดูเป็นรายประเทศจะพบว่าตลาดหุ้นที่ได้อานิสงส์จากข่าววัคซีนมากกว่าประเทศอื่นๆ ได้แก่ หุ้นยุโรป +9.0% และหุ้นไทย +11.7% เนื่องจากเศรษฐกิจกลุ่มยูโรโซนและไทยพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ประกอบกับโครงสร้างตลาดหุ้นมีหุ้นกลุ่มวัฏจักรเป็นส่วนใหญ่
ในทางกลับกัน หุ้นกลุ่มผู้ชนะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่า อย่างเช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับเพิ่มเพียง +1.1% ส่วนกลุ่ม Healthcare นั้นกลับปรับลดลง -0.4% ด้านประเทศจีนที่ควบคุมการแพร่ระบาดฯ ได้ดีกว่าที่อื่นๆ และสามารถหลุดพ้นจากวิกฤตโรคโควิด-19 จนเศรษฐกิจพลิกมาขยายตัวได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2020 ให้ผลตอบแทนเพียงราว +1% เท่านั้น
การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาทำให้เกิดคำถามว่า ความสำเร็จของวัคซีนจะทำให้หุ้นกลุ่มผู้ชนะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เสื่อมมนต์ขลังได้หรือไม่
การที่หุ้นกลุ่มวัฏจักรปรับเพิ่มขึ้นมานั้นอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การสลับกลุ่มเล่นจากนักลงทุนที่ได้กำไรจากกลุ่มเทคฯ มาเยอะแล้ว หรืออาจจะเกิดจากนักลงทุนที่พึ่งเริ่มมีความเชื่อมั่นในการลงทุนจึงเลือกลงทุนในกลุ่มนี้เพราะ ราคายังต่ำอยู่ และเรามองว่าการปรับเพิ่มขึ้นยังอยู่ช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่ทั้งนี้การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ยังมีความเสี่ยง
ในระยะข้างหน้าหุ้นกลุ่มวัฏจักรยังจะต้องเผชิญความท้าทายอีกมาก เพราะการที่ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นต่อได้อย่างยั่งยืนต้องอาศัยเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างทั่วถึงและแข็งแกร่งจนทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกพร้อมที่จะถอนคันเร่งของการผ่อนคลายและเสริมสภาพคล่อง หันมาเตรียมปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดความร้อนแรง ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากในเร็ววันนี้ ดังนั้นการที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มวัฏจักรจะต้องใช้ความระมัดระวัง โดยเฉพาะการเลือกสรรหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีพอ และติดตามพัฒนาการทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด
สำหรับหุ้นกลุ่ม New economy เช่น เทคโนโลยี และนวัตกรรมการแพทย์ จะยังให้ผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและรูปแบบการดำเนินธุรกิจไปแล้ว โดยมีวิกฤตโรคโควิด-19 เป็นตัวเร่ง ซึ่งเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและความสะดวกสบาย ทำให้ความต้องการสินค้าและบริการด้านเทคโนโลยีจะเติบโตได้อย่างมาก
กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือ ลงทุนหุ้นกลุ่มวัฏจักรเพื่อคว้าโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะสั้น โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการติดตามการฟื้นตัวของราคาและการเปลี่ยนแปลงปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ ขณะที่การลงทุนในหุ้นกลุ่ม New economy ในสัดส่วนที่สูงกว่าจะสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาว