'จตุพร' ประกาศเลือกข้าง ย้ำไม่เคียงข้างคนทำลายกระบวนการยุติธรรม
“จตุพร”ประกาศเลือกข้าง! ส่งสัญญาณถึงคนเลือกยืนข้างทำลายกระบวนการยุติธรรม ย้ำชัดๆ “ผมไม่อาจร่วมเคียงข้างได้ด้วย”
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk ราวกับส่งสัญญาณการต่อสู้ทางการเมืองถึงใครบางคน ประกาศจุดยืนทำในสิ่งถูกต้อง เปรยใครจะโกรธก็ตามสบาย เผยใครอยู่ข้างคนทำลายกระบวนการยุติธรรม แย้มจะไม่ยืนอยู่เคียงข้างได้ด้วย
นายจตุพร กล่าวว่า การทำหน้าที่บนหนทางประชาธิปไตย เมื่อเลือกเป็นนักต่อสู้มากกว่านักเลือกตั้ง แม้ไม่สมบูรณ์ แต่แนวทางการเมืองต้องมีอุดมคติ ซึ่งเป็นความแตกต่างจากนักเลือกตั้ง ดังนั้น การตัดสินใจต่อสู้กับการเลือกตั้ง อบจ.ในเชียงใหม่ จึงเป็นการเลือกในสิ่งที่ถูกต้องของชีวิตที่เหลืออยู่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต่อสู้มาตลอดชีวิต คือ ต่อต้านความไม่เป็นประชาธิปไตย และความอยุติธรรมสอง มาตรฐาน ซึ่งเป็นวิถีทางที่ได้เลือก แม้จะเต็มไปด้วยปัญหาและมิตรต้องตัดขาด แต่ผลแพ้หรือชนะในการเลือกตั้ง อบจ.ในเชียงใหม่นั้น เป็นสิ่งเล็กน้อยในสิ่งที่เลือกต่อสู้เท่านั้น
ดังนั้น ด้วยการเลือกต่อสู้บนหนทางเช่นนี้ การสู้เพื่อประชาธิปไตยยังเป็นภาระหน้าที่ของคนเสื้อแดงต้องรักษาไว้ซึ่งความถูกต้อง ส่วนคดีบอส นั้น คนใส่เสื้อแดงจะพยายามทำดำให้เป็นขาวแล้ว ตนว่า เสื้อแดงเป็นแค่เปลือกนอกสวมใส่ ไม่ใช่แก่นอุดมการณ์ที่เป็นชีวิตจิตใจของนักต่อสู้ และได้เลือกที่สู้
นายจตุพร กล่าวว่า ในคดีบอส เป็นการสะท้อนถึงลูกคนรวยขับรถชนดาบตำรวจคนจนผู้อาภัพและกำพร้าพ่อ-แม่ อีกทั้งคดีนี้ คนรวยไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ลงมาดูดาบตำรวจที่ถูกคนรวยขับรถหรูพุ่งชน แล้วยังบึ่งรถหนีเข้าบ้าน และให้พ่อบ้านมารับผิดแทน รวมทั้ง มีการปั้นพยานเท็จนายจารุชาติ มาดทอง โดยรู้ทั้งรู้ว่าเป็นคนของใคร มาให้ปากคำผู้เห็นเหตุการณ์เพื่อเปลี่ยนความเร็วรถว่า ขับมาเพียง 50-60 กม.ต่อชั่วโมง
อีกทั้ง กล่าวว่า ตนยืนชัดเจนว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องหลักในสังคมไทยที่ไม่อาจรับความจริงกันได้ในข้อเท็จจริง นอกจากนี้ ผลการสอบข้อเท็จจริงชุดนายวิชา มหาคุณ ได้ระบุถึงคนเกี่ยวข้องและไปทำลายความยุติธรรมจนบิดเบี้ยว โดยระบุว่า นาย ช. มีส่วนเกี่ยวข้อง แม้มาเปลี่ยนชื่อจริงและชื่อเล่นใหม่ภายหลัง ตนจึงถามทีเล่นทีจริงว่า นาย ช.เป็นคนเดียวกับนาย พ. หรือไม่ พรรคการเมืองนั้น และใครในฝ่ายนั้นยังไม่ตอบให้กระจ่างความจริง
อย่างไรก็ตาม ผลสอบชุดนายวิชา ระบุถึงนาย ช. ได้ร่วมอยู่ในที่ประชุมหารือการเปลี่ยนความเร็วของนายจารุชาติด้วย น่าเสียดายนายจารุชาติ มาเสียชีวิตก่อนอย่างมีความน่ากังขา โดยนายวิชา ถึงกับบอกว่า น่าจะถูกฆ่าตัดตอน ดังนั้น ตนจึงยอมไม่ได้ที่จะให้คนชั่วมาเป็นเจ้าเมืองหรือไปเหยียบบันได อบจ. ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ส่วนมีการกล่าวหากินบนเรือนขี้บนหลังคานั้น นายจตุพร กล่าวว่า ตนต่อสู้มาด้วยชีวิต เอาอิสรภาพแลกในการต่อสู้ และมีความตายเป็นเดิมพัน แต่ตนไม่ใช่ขี้ข้าที่พร้อมจะทำความชั่ว หรือสนับสนุนความชั่ว ตนเป็นของตนเช่นนี้ ดังนั้น ใครพูดอะไรอย่างไร ต้องรับผิดชอบเป็นคดีความกันไป
"ความเป็นผม รักในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วเราจะเดินมาทั้งชีวิตด้วยหนทางนี้ทำไม ดังนั้น การต่อสู้แต่ละขั้นตอน เป็นเรื่องการเอาชีวิตเข้าแลก ผมไม่มีทรัพย์ไปสละ แต่ผมมีชีวิตไปสละ ผมมีเดิมพัน ผมเอาชีวิตเป็นหุ้นในการต่อสู้ เพราะผมไม่มีเงินทอง ดังนั้นชีวิตถือเป็นการลงทุน อิสรภาพคือการลงทุนในการต่อสู้ ด้วยเหตุนี้ทรัพย์สินเงินทองจะไม่มีค่ามากกว่าชีวิตและอิสรภาพ"
ดังนั้น การพยายามอธิบาย กล่าวหาใดๆก็ยิ่งเข้าตัว อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่าเคารพอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ตามเดิม แต่พฤติกรรมขบวนการของเจ๊ทั้งหลายที่ไร้มาตรฐาน ยิ่งอธิบาย ก็ยิ่งผูกมัดตัวเอง
อีกอย่าง หากการต่อสู้เน้นเพียงแค่ชนะ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากของอดีตนายก อบจ.คนหนึ่ง และคนธรรมดาอย่างตน ย่อมหาหนทางไม่เจอ เพราะตนต่อสู้เพื่อให้บ้านเมืองถูกต้องดีงาม ไม่ให้คนชั่วได้ทำลายขบวนการยุติธรรมได้ไปมีอำนาจ นั่นคือภารกิจหลักที่ทำให้ยืนหยัด
"แม้วันหนึ่งการต่อสู้บนหนทางนี้ ผมไม่เลือกใครเลย แต่ผมก็ยังเป็นผมอย่างนี้ เพราะผมเกิดมาอย่างนี้ แล้วผมพร้อมที่จะตายแบบคนพันธุ์อย่างผมเช่นนี้ แน่นอนการพูดเอาใจคนมีอำนาจ คนให้ผลประโยชน์ได้ อาจดูดี"
พร้อมกล่าวว่า แต่สังคมเส็งเคร็งนี้ ถ้าเอาใครที่ทำลายกระบวนการยุติธรรมมาเป็นเรื่องอุดมคติที่สู้แล้วบาดเจ็บล้มตายมา เนื่องจากความอยุติธรรมคู่กับเผด็จการเป็นเรื่องของความเลวทรามต่ำช้า ถ้าวันหนึ่งเราละเลยสิ่งนี้ แต่มาบอกว่าที่ต่อสู้ตายกันมานั้น เพื่อจะให้ใครก็ได้ที่มีพฤติกรรมอย่างนั้นมาเป็นผู้ปกครอง ดังนั้น ตนจะไปแคร์กับความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้ ถึงจะไม่เหลือใครมาเห็นด้วยแม้แต่คนเดียว ตนก็ยังยืนยันว่า ไม่มีวันที่จะไปเห็นด้วยกับเผด็จการ หรือเห็นด้วยกับคนทำลายกระบวนการยุติธรรมอย่างเลวทรามต่ำช้ามากที่สุด
ดังนั้น เรื่องทั้งหมดกับคดีบอส ไม่ใช่เรื่องของนายจตุพร หรือนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ หรือใครก็ตาม แต่เป็นเรื่องความถูกต้องดีงามที่อยู่กับบ้านเมือง ซึ่งตนต้องแสดงจุดยืนแม้ว่าจะไม่เหลือใครเป็นพวกก็ตาม
รวมทั้ง การสู้กับพรรคการเมืองใหญ่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ตนเชื่อว่าสุจริตจะเป็นเกราะกำบัง เชื่อว่าความกลัวทำให้เสื่อม และเชื่อว่า การทำทั้งหมดไม่ใช่เรื่องตัวเอง แต่เป็นเรื่องการรักษาความถูกต้อง ดีงามของชาติบ้านเมืองเอาไว้
“ผมเป็นคนแบบนี้มาตลอดชีวิต ไม่ใช่เพิ่งเป็น ผมรู้ว่าอะไรคือความถูกต้อง และในสังคมนี้ ทั้งพรรคการเมืองหรือระบอบติ่งที่รู้จักผม คนอ้างว่าชื่นชมผม แล้วไปสนับสนุนคนทำลายกระบวนการยุติธรรม ในคดีบอส กระทิงแดง เมื่อผมยืนต่างท่านโกรธ ผมจะบอกว่าท่านโกรธได้ตามสบาย เพราะผมจะยืนอย่างนี้จนกว่าชีวิตจะหาไม่”
นายจตุพร ย้ำว่า แม้ว่าตนจะไม่มีใครก็ตาม เพราะตนถือว่าคนที่ทำลายกระบวนการยุติธรรมกับเผด็จการที่ยึดอำนาจ ล้วนแต่มีความเลวไม่แตกต่างกัน ดังนั้น ใครยืนยันเลือกคนทำลายกระบวนการยุติธรรม และยืนเคียงข้างเผด็จการ ผมไม่อาจไปร่วมเคียงข้างได้ด้วย ผมขอยืนฝ่ายตรงข้ามและจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป