ต้องรู้! 'อาการโควิด' ต่างจากอาการไข้อื่นๆ ยังไง? เช็คด่วน
"โควิด-19" ระลอกใหม่จากเคส "สมุทรสาคร" ยิ่งนับวันก็ยิ่งพบการแพร่กระจายต่อเนื่องไปหลายจังหวัด ใครไม่แน่ใจว่าตัวเองติดเชื้อหรือยัง ลองเช็ค "อาการโควิด" ที่ต่างจากอาการไข้อื่นๆ ได้ที่นี่
การระบาด "โควิด-19" ระลอกใหม่ (Newly Emerging) จากเคสสมุทรสาคร ยิ่งนับวันก็ยิ่งพบการแพร่กระจายต่อเนื่องไปหลายจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ตลาดสดที่มีการขายกุ้งและอาหารทะเล ใครไม่แน่ใจว่าตัวเองติดเชื้อหรือยัง ลองเช็ค "อาการโควิด" ที่ต่างจากอาการไข้อื่นๆ อย่างไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก และภูมิแพ้ เนื่องจากช่วงนี้อากาศหนาวเย็นลง ทำให้คนไทยป่วยได้ง่าย
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ได้สรุปและรวบรวมอาการป่วยจากการติดเชื้อไวรัสต่างๆ ที่สามารถก่อโรคที่มีอาการคล้ายกันมาให้เช็คอีกที เพื่อแยกแยะได้ถูกว่าแบบไหนเรียกว่ามีอาการป่วยเข้าข่ายติดโรคโควิด-19
- อาการป่วย "COVID-19"
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ จะมีอาการเช่นเดียวกับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยจะแสดงอาการตั้งแต่ระดับความรุนแรงน้อย ไม่ว่าจะเป็น การคัดจมูก เจ็บคอ ไอ และมีไข้ บางรายที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการปอดบวมหรือหายใจลำบากร่วมด้วย
โดยอาการที่พบบ่อยที่สุด คือ มีไข้ (ไข้สูงติดต่อกัน 48 ชั่วโมง), ไอแห้งๆ, ไม่มีเรี่ยวแรง หอบเหนื่อย, ไอมีเสมหะ, หายใจลำบาก, เจ็บคอ, ปวดหัว, จมูกไม่ได้กลิ่น, ลิ้นไม่รับรส
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
- ลดกังวลอาการโควิด เปิดเช็คลิสต์ 'แบบประเมินความเสี่ยงโควิด' ทำได้ที่ไหนบ้าง
- โรคนี้ไม่กระจอก! หมอเตือนหายป่วย 'โควิด-19' ยังมีอาการคงค้าง 'ชัก-ซึมเศร้า'
- 'โควิด-19' กับการระบาด 'ระลอก2' และ 'ระลอกใหม่' ต่างกันยังไง?
- คนไทยตรวจ 'โควิด-19' ฟรี! หากเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงรีบตรวจทันที
- 'โควิดสมุทรสาคร' สู่การตรวจโควิด-19 ผ่านออนไลน์ 'ราชวิถีมีหมอ'
อีกทั้งมีข้อมูลจาก ศ.พญ.เสาวรส ภทรภักดิ์ ประธานราชวิทยาลัยโสต ศอ นาสิกแห่งประเทศไทย ที่เคยออกประกาศ ฉบับที่ 3 เรื่อง ข้อแนะนำเรื่องอาการสูญเสียการได้กลิ่นในผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระบุว่า มีงานวิจัยและรายงานของผู้ป่วยมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอาการสูญเสียการได้กลิ่น (anosmia) กับผู้ป่วยโควิด-19 โดยพบว่า
- ผู้ป่วยโรค COVID-19 (หมายถึงมีผลตรวจเป็นบวกแล้ว) พบมี anosmia (อาการสูญเสียการได้กลิ่น) ได้ถึง 2 ใน 3
- ผู้ป่วยโรค COVID-19 ที่มีอาการอื่นๆ (ไข้ ไอ เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล) ไม่มาก จะพบว่ามี anosmia (อาการสูญเสียการได้กลิ่น) เป็นอาการหลักถึง 30%
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลจาก นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวงสาธารณสุข (10) เคยระบุไว้ว่า อาการโควิด-19 นั้น มีความแตกต่างของอาการ โควิด-19 ในเด็กและผู้ใหญ่ คือ เด็กจะมีอาการน้อยกว่า ดังนี้
- อาการโควิดสำหรับเด็ก : ร้อยละ 42 จะมีอาการไข้, ร้อยละ 49 มีอาการไอ, ร้อยละ 8 มีน้ำมูก, ร้อยละ 7 มีอาการอ่อนเพลีย
- อาการโควิดสำหรับผู้ใหญ่ : ร้อยละ 89 จะมีอาการไข้, ร้อยละ 68 มีอาการไอ (อาการหลักที่สำคัญ), ร้อยละ 14 จะมีอาการเจ็บคอ, ร้อยละ 15 มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, ร้อยละ 5 มีน้ำมูก, ร้อยละ 38 มีอาการอ่อนเพลีย
อีกทั้งพบว่า "ช่วงอายุ" ของผู้มีอาการป่วยจากโควิด-19 ก็มีผลต่ออัตราการเสียชีวิตด้วย กล่าวคือ
- กลุ่มอายุ 10-19 ปีมีโอกาสต่ำมาก
- กลุ่มอายุ50-59 ปี มีโอกาสเสี่ยงสูง
- กลุ่มอายุ 80 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงสูงและมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก (ผู้ป่วยช่วงอายุนี้ 100 คน จะมีอัตราเสียชีวิตถึง 15 คน)
- อาการป่วย ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดธรรมดา (Common cold) และ ไข้หวัดใหญ่ (Flu) ต่างก็เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส แต่แตกต่างกันที่ชนิดของไวรัส โดยไข้หวัดธรรมดานั้นเกิดได้จากไวรัส Rhinoviruses และ Coronaviruses ที่เป็นสาเหตุร้อยละ 10-15 ส่วนไข้หวัดใหญ่นั้นเกิดจากไวรัส Influenza A และ Influenza B
อาการของไข้หวัดธรรมดา: ไข้ต่ำๆ คัดจมูก มีน้ำมูกใส จาม เจ็บคอ คอแดง ทอนซิลอาจบวมแดงแต่ไม่มีหนอง ไอเล็กน้อย ปวดหัวเล็กน้อย และอาการทั่วไปมักไม่รุนแรง และหายได้เอง
อาการของไข้หวัดใหญ่: เกิดอาการทางจมูกและคอได้บ้างในบางครั้ง แต่จะมีอาการเด่นชัด คือ มีไข้สูงลอย (37.8-39.0 องศาเซลเซียส) ไข้สูงแบบทันทีทันใด มีอาการปวดหัวหนัก ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว อ่อนเพลียอย่างมาก อีกทั้งยังพบอาการไอที่รุนแรงร่วมกับอาการเจ็บหน้าอกด้วย (ใกล้เคียงกับอาการของโรค "COVID-19" ต้องให้แพทย์วินิจฉัย)
- อาการจากโรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ
ในกรณีของการแพ้อากาศนั้น ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส แต่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้ป่วยเอง ซึ่งทำงานตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นที่สามารถพบได้จากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เช่น ฝุ่น อากาศเย็น อากาศร้อน และละอองเกสร ซึ่งสิ่งกระตุ้นที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้นั้นก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน อาการส่วนใหญ่ คือ จาม น้ำมูกไหล คันยุบยิบๆ บริเวณตา จมูก แต่ไม่มีไข้ ไม่มีอาการไอ ไม่เหนื่อยหอบ
- อาการป่วย ไข้เลือดออก
หลังจากได้รับเชื้อจากยุงประมาณ 5-8 วัน (ระยะฟักตัว) ผู้ป่วยมักจะมีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส บางรายอาจมีอาการชักเกิดขึ้นโดยเฉพาะในเด็ก ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่มีอาการน้ำมูกไหลหรืออาการไอ แต่จะเบื่ออาหาร อาเจียน และไข้จะสูงลอยอยู่ 2-7 วัน
อาจพบมีผื่นแบบ erythema หรือ maculopapular ซึ่งมีลักษณะคล้ายผื่น rubella ได้ กล่าวคือ มีจุดเลือดออกเล็กๆ กระจายตามแขน ขา ลำตัว รักแร้ อาจมีเลือดกำเดาหรือเลือดออกตามไรฟัน ในรายที่รุนแรงอาจมีอาเจียนและถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งมักจะเป็นสีดำ (melena) ส่วนใหญ่จะคลำพบตับ โต ได้ประมาณวันที่ 3-4 นับแต่เริ่มป่วย ในระยะที่ยังมีไข้อยู่ ตับจะนุ่มและกดเจ็บ มีภาวะไหลเวียนโลหิตล้มเหลว หรือในรายที่อาการหนักอาจเกิดภาวะช็อกได้