‘ดาวโจนส์’ร่วง 200จุดเหตุนักลงทุนยังกังวลโควิดกลายพันธุ์
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดวันอังคาร(22ธ.ค.)ร่วงลง200จุดขณะที่นักลงทุนยังคงมีความวิตกเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในอังกฤษ แม้ผู้เชี่ยวชาญแสดงความเชื่อมั่นว่าวัคซีนในปัจจุบันสามารถต้านไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 200.94 จุดหรือ0.67%ปิดที่ 30,015.51 จุดดัชนีเอสแอนด์พี500ลดลง 7.66 จุดหรือ0.21%ปิดที่ 3,687.26 จุดและดัชนีแนสแด็กเพิ่มขึ้น 65.40 จุดหรือ0.51%ปิดที่ 12,807.92 จุด
นักลงทุนมีความวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งขณะนี้มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกมากกว่า 77.8 ล้านราย โดยผู้ติดเชื้อในสหรัฐมีมากกว่า 18.4 ล้านราย ขณะที่มีรายงานพบการกลายพันธุ์ของไวรัสในอังกฤษ ซึ่งทำให้อังกฤษกลับมาล็อกดาวน์ฉุกเฉิน
หุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลงในวันนี้ จากการที่หลายประเทศทั่วโลกพากันระงับเที่ยวบินจากอังกฤษ หลังพบว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 มีการกลายพันธุ์ในอังกฤษ ซึ่งทำให้มีการแพร่เชื้อรวดเร็วกว่าเดิมถึง 70%
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญแสดงความเชื่อมั่นว่าวัคซีนในปัจจุบันสามารถต้านไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
ด้านเจ้าหน้าที่จากองค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ยืนยันว่ายังไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงขึ้น หรือมีความร้ายแรงกว่าไวรัสสายพันธุ์ปัจจุบัน แม้ว่าอาจจะมีการแพร่เชื้อได้ง่ายกว่า แต่ก็ยังช้ากว่าเมื่อเทียบกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ หรือไวรัสโรคคางทูม
ตลาดไม่ได้รับอานิสงส์จากการที่สภาคองเกรสสหรัฐบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9 แสนล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ สภาคองเกรสสามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9 แสนล้านดอลลาร์เพื่อเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
นอกจากนี้ สภาคองเกรสยังได้อนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณวงเงิน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ที่จะทำให้หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐสามารถเปิดดำเนินการต่อไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย.2564
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นประมาณการครั้งสุดท้าย สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 3/2563 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 33.4% ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่สหรัฐเริ่มมีการรวบรวมข้อมูลในปี 2490 หรือกว่า 70 ปีก่อนหน้านี้ และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวจากตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ที่ระดับ 33.1%
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัว 5% ในไตรมาส 4
สหรัฐมีการขยายตัวสูงสุดก่อนหน้านี้ที่ระดับ 16.7% โดยทำไว้ในไตรมาสแรกของปี 2493
การขยายตัวเป็นประวัติการณ์ของสหรัฐในไตรมาส 3/2563 ได้รับแรงหนุนจากการที่รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้มีการเปิดเศรษฐกิจ และเริ่มมีการจ้างงาน หลังจากที่ได้ปิดเศรษฐกิจก่อนหน้านี้เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 31.4% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ที่สหรัฐเริ่มมีการเก็บข้อมูลในปี 2490 หลังจากหดตัว 5% ในไตรมาส 1 ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากมีการหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน
ในปีที่แล้ว เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 3.1% ในไตรมาส 1 และ 2.0% ในไตรมาส 2 ขณะที่เติบโต 2.1% ทั้งในไตรมาส 3 และ 4
นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.3% ในปี 2562 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี โดยต่ำกว่าระดับ 2.9% ในปี 2561 และ 2.4% ในปี 2560 ซึ่งเป็นปีแรกในการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่เขาตั้งเป้าการขยายตัวรายปีของเศรษฐกิจสหรัฐไม่ต่ำกว่า 3% ในช่วงการดำรงตำแหน่ง 4 ปีของเขา