เล็งเพิ่ม 'คนละครึ่ง' เป็น 5,000 บาท สู้ 'โควิด-19' หวังเคลื่อนต่อเศรษฐกิจไทย
กกร. หนุนรัฐเร่งใช้งบ 2 แสนล้าน กู้วิกฤต "โควิด-19" รอบ 2 ต่ออายุโครงการ "คนละครึ่ง" เพิ่มเม็ดเงินต่อหัวจาก 3.5 พันบาท เป็น 5 พันบาท ลดค่าไฟฟ้า 5% คาด จีดีพี ปี 64 โต 1.5% ถึง 3.5% หากควบคุมโควิดได้ภายใน 3 เดือน ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่จะโต 2.0% ถึง 4.0%
นายกลินท์ สารสิน ประธานหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการรร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ที่ประชุม กกร. มองว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหยุดชะงัก การท่องเที่ยวในประเทศซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตลอดครึ่งหลังของปี 2563 ไม่สามารถเดินต่อได้ชั่วคราว หลังจากมีมาตรการเข้มงวดจำกัดการเดินทางในหลายจังหวัดที่มีประชากรมากหรือเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวในประเทศ คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 เดือน และยังส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน
สำหรับกิจกรรมการผลิตในภาคอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ เนื่องจากประเทศสำคัญๆ ใน Global supply chain อย่างจีนและไต้หวันยังควบคุมการระบาดได้ดี ทั้งนี้ ภาคการส่งออกในช่วงต้นปี 2564 อยู่ภายใต้ข้อจำกัดจากปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในการส่งออกรวมถึงค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่า
นอกจากนี้ ภาครัฐควรเร่งหามาตรการ ควบคุมโรคระบาดและช่วยเหลือผู้ประกอบการและแรงงานที่ได้รับผลกระทบ ประการแรก ต้องเร่งควบคุมการแพร่ระบาดและบังคับใช้มาตรการต่างๆที่ประกาศออกมาอย่างเคร่งครัด ควรจะ focus แม่นยำ ตรงจุด ถึงต้นตอการแพร่กระจายทั้งนี้ขอให้ควบคุมดูแลที่อยู่ของคนงานต่างด้าวให้เหมาะสมเพื่อระงับการแพร่ระบาด และเร่งจับผู้กระทำผิดทั้งบ่อนการพนัน และการนำเข้าแรงงานต่างด้าวอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้สินค้าของประเทศว่าปัญหาการแพร่ระบาดส่วนใหญ่มาจากคนสู่คน ไม่ใช่จากอาหารหรือสินค้าสู่คน
ประการที่สอง ขอให้ภาครัฐเร่งดำเนินการเรื่องงบประมาณช่วยเหลือ 2 แสนล้านบาท โดยให้กำหนดวิธีการให้ชัดเจนปฏิบัติได้เร็วและให้ส่งผลได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะมีความเห็นว่าจะสามารถช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ซึ่งอาจเป็นการต่ออายุโครงการคนละครึ่งและเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายต่อบุคคลเป็น 5,000 บาท มาตรลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เช่น ลดค่าไฟ 5%รวมถึงการใช้เครื่องมือทางการเงินอย่าง Asset Warehousing และ บสย. อย่างมีประสิทธิภาพ
ประการที่สาม เร่งรัดเรื่องวัคซีนโควิดให้สามารถได้มาตามกำหนดเวลาและมีปริมาณที่เพียงพอรวมถึงกำหนดวิธีการและหลักเกณฑ์ในการกระจาย การขนส่ง และฉีดวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดลำดับผู้ที่ได้รับวัคซีนก่อนหลังอย่างเหมาะสม
ประการที่สี่ เร่งรัดการใช้และการเจรจาการค้าทวิภาคี รวมถึงการให้สัตยาบันลงนามข้อตกลง RCEP ในการประชุมรัฐสภา เพื่อให้ข้อตกลงที่ลงนามไปเมื่อเดือน พ.ย. 63 มีผลบังคับใช้กลางปีนี้ เพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีแรงส่งเพิ่มในช่วงครึ่งปีหลัง
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มว่าจะช้ากว่าที่คาดไว้เดิม รวมถึงปัจจัยเสี่ยงและผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศ และการใช้งบประมาณเพิ่มเติมอีก 2 แสนล้านบาทในการพยุงเศรษฐกิจ ที่ประชุม กกร. จึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2564 จะขยายตัวได้ในกรอบ 1.5% ถึง 3.5% หากควบคุมการแพร่ระบาดได้ภายในระยะเวลา 3 เดือน ลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดว่าขยายตัวได้ 2.0% ถึง 4.0% เช่นเดียวกับประมาณการการส่งออกในปี 2564 ที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 3.0% ถึง 5.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 0.8% ถึง 1.0%