'ประวิตร' ต่อท่ออำนาจ หนุน 'จักรทิพย์' ลง 'ผู้ว่ากทม.'

สนามเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่เก็งกันว่าจะจัดให้มีขึ้นในเดือน ต.ค.ปีนี้ จึงได้เห็นการขยับของแคนดิเดตหลายคนเตรียมลงสนาม ความน่าสนใจอยู่ที่ซีกรัฐบาล ที่กุมความได้เปรียบ มีอำนาจในมือ และควบคุมกลไกต่างๆ

การขยับของ “พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” หรือ “บิ๊กแป๊ะ” ที่เพิ่งเกษียณอายุราชการ ถอดเครื่องแบบตำรวจยังไม่ทันไร ก็ลุกขึ้นมาเปิดเพจ แต่งสูทหล่อ ฉีกยิ้ม มาในมาดผู้ชายอบอุ่นเป็นมิตร ทั้งที่ตอนเป็นตำรวจ เรียกได้ว่าเป็นเสือยิ้มยาก นั่นก็เป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า เขากำลังค่อยๆ รูดม่านเปิดฉาก เผยตัวเข้าชิงผู้ว่าฯ กทม. อย่างเป็นทางการ

การที่ “บิ๊กแป๊ะ” นั่งเบอร์ 1 คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึง 5 ปี ในยุคหลังการรัฐประหาร ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรืองอำนาจ แสดงให้เห็นว่า ได้รับไว้วางใจจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีมากขนาดไหน

นอกจากนั้น บิ๊กแป๊ะยังได้รับแต่งตั้งให้มีตำแหน่งในยุคคสช. เป็นทั้งสมาชิกคสช. สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และหลังเลือกตั้ง 24 มี.ค.62 ยังเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร จะสนับสนุนบิ๊กแป๊ะที่สนใจลงสมัครรับเลือกตั้ง “ผู้ว่าฯกทม.” และที่ผ่านมาบิ๊กแป๊ะก็ได้รับการสนับสนุนด้วยดีมาตลอด จนถูกมองว่าเป็นน้องเลิฟอีกคน

เมื่อบิ๊กป้อมเลือกแล้ว บรรดาคนที่เป็นมือไม้ใน “พรรคพลังประชารัฐ” โดยเฉพาะ “ร.อ.ธรรมนัสพรหมเผ่า” รมช.เกษตรและสหกรณ์ และรองหัวหน้าพรรค ด้านปฏิบัติการ ย่อมรู้ดีว่า ต้องกระโดดลงมาช่วยคนที่”นาย”เลือก เพราะเห็นลู่ทางขยายฐานอำนาจในเมืองหลวง รวมถึงส.ส.กทม. บางกลุ่มที่แอ๊คชั่นเปิดตัวพร้อมเป็นกองหนุน

“บิ๊กแป๊ะ” ถือเป็นคนมากคอนเนคชั่น กว้างขวางทุกวงการ จึงเรียกว่ามีฐานเสียงระดับหนึ่ง และเป็นไปได้ว่า หาก บิ๊กแป๊ะคว้าชัยได้ อาจตอบโจทย์คนหลายวงการให้ได้รับความสะดวกบางอย่าง แลกกับการสนับสนุนเขาก็เป็นได้

ก่อนหน้านี้ “บิ๊กแป๊ะ” พยายามต่อสายหาหลายคนที่อาจคิดว่าสามารถเกื้อหนุนตัวเขาให้มีบทบาททางการเมือง ไม่เว้นแม้แต่คนที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม รัฐบาลแต่ว่ากันว่า “บิ๊กเนม”บางคนที่  "บิ๊กแป๊ะ" อยากหารือด้วย กลับไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ

รวมถึงท่าทีของบางกลุ่มใน “พลังประชารัฐ” ก็ดูจะไม่ค่อยปลื้มกับการตัดสินใจของบิ๊กป้อมครั้งนี้

ขณะที่ในพื้นที่กทม.ของพลังประชารัฐ ก็มีขุนพลหลักของพรรค 2 คน รับผิดชอบ คือ “ณัฏฐพลทีปสุวรรณ” รมว.ศึกษาธิการ และ “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและเป็นรองหัวหน้าพรรคด้วยกันทั้งคู่

“ณัฏฐพล” หรือ “ตั้น” และ “พุทธิพงษ์” หรือ “บี”ต่างมีแนวทางในการทำพื้นที่กทม. มีบทบาทและประสบการณ์ในการสู้ศึกเลือกตั้งสนามเมืองหลวง ทั้งการเลือกตั้งใหญ่ และสนามผู้ว่าฯกทม. หลายครั้ง จึงมีความมั่นใจว่ารู้บริบทในพื้นที่ว่ามีความซับซ้อนอย่างไร โดยเฉพาะความคิดความอ่านของคนกรุง ที่จำนวนไม่น้อย จะตัดสินใจในโค้งสุดท้ายว่าจะเลือกใคร

ถ้าลองย้อนกลับไปดู สมัยการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ที่สู้กันระหว่าง “ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุบริพัตร” จากประชาธิปัตย์ และ “พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ” จากเพื่อไทย

ในยุคนั้นประชาธิปัตย์ มี “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็นมันสมอง คิดแคมเปญ “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ในช่วงไม่กี่วันก่อนหย่อนบัตร รวมถึงหยิบเอาเรื่องเผาบ้านเผาเมืองมาปลุกกระแส ฉุดให้คนกรุงเทพฯ เทคะแนนให้ “สุขุมพันธ์ุ” จนคว้าชัยชนะ ได้เป็นผู้ว่าฯกทม. ในที่สุด

ในช่วงนั้น “ตั้น-บี” ก็เป็นคนที่ช่วยหาเสียงร่วมกับ “สุเทพ” ย่อมได้เห็นความเก๋าเกม รวมถึงเคล็ดวิชาต่างๆ มาพอสมควร จนคิดว่ารู้พฤติกรรมคนกรุงระดับหนึ่ง หรืออย่างตอนเลือกตั้งใหญ่ครั้งล่าสุด แคมเปญ “เลือกความสงบจบที่ลุงตู่” ของพลังประชารัฐ ก็ส่งผลให้พรรคได้รับเลือก ส.ส.ในกทม. ถึง 12 ที่นั่ง

มาเที่ยวนี้ “ตั้น” ตั้งเป้าส่ง อีฟ “ทยา ทีปสุวรรณ” อดีตรองผู้ว่ากทม. ยุค “สุขุมพันธ์ุ” ซึ่งเป็นภรรยาสุดเลิฟลงแข่งขัน นอกจากนั้น ยังมีน้องเลิฟของ “ตั้น” อีกคนที่เป็นรองผู้ว่าฯ กทม. ยุคนี้อย่าง จั้ม “สกลธี ภัทธิยกุล” ร่วมเป็นขุนพลสู้ศึกเลือกตั้งด้วยเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ “บิ๊กแป๊ะ” ที่กำลังแต่งตัวรอลงสนาม มีความเป็นไปได้สูงที่จะประเดิมการเมืองในสนามผู้ว่าฯกทม. ในนามอิสระ แทนที่จะลงในนาม “พลังประชารัฐ” เพราะอาจติดเงื่อนไขกฎหมายบางประการหรือไม่ และคงประเมินแล้วว่า ยากจะฝ่ากระแสของคนรุ่นใหม่ในเมืองหลวง

จึงน่าสนใจว่า หาก “พลังประชารัฐ” เลือกไม่ส่งในนามพรรค ทั้ง “บิ๊กแป๊ะ” และ “ทยา” จะลงอิสระชนกันเลยหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น ซีกรัฐบาลอาจแพ้ทั้งกระดาน กทม. แต่หากตกลงกันได้ในนาทีสุดท้าย ต่างฝ่ายอาจสมประโยชน์

ขณะที่ “ผู้ว่าฯอัศวิน” หรือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ได้เป็น “ผู้ว่ากทม.” คนปัจจุบันแบบบุญหล่นทับ ด้วยคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 64/2559 หลังจากสั่งให้ “ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ” พ้นจากตำแหน่งและให้ “อัศวิน” ขึ้นดำรงตำแหน่งลากยาวจนเข้าสู่ปีที่ 5

“อัศวิน” ถือเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นรองผู้ว่าฯ กทม. ในยุค “สุขุมพันธุ์” ก่อนได้เป็นพ่อเมืองเมืองหลวง เพราะ “คสช.” ขณะนี้ก็กำลังคิดลงสู้ศึกเพื่อรักษาเก้าอี้ผู้ว่าฯ อีกสมัย

ครั้งนี้คงไม่ใช่งานง่ายสำหรับ “อัศวิน” เมื่อคนที่มีอำนาจในรัฐบาล มีคนในใจที่จะส่งลงสนามแล้ว

ดังนั้น เมื่อลองยกโจทย์หรือปัญหาใน

กทม. เป็นตัวตั้ง ทั้งเรื่องน้ำท่วมขัง รถติด ขยะ ผังเมือง ฝุ่น PM2.5 ยาเสพติด บ่อนการพนันปัญหาอาชญากรรม และสารพัดปัญหาของเมืองใหญ่ รวมถึงการยกระดับกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองหลวงชั้นนำ จึงไม่แน่ใจว่า แคนดิเดตทั้ง “จักรทิพย์” และ “ทยา” “อัศวิน” จะตอบโจทย์คนกรุงจริงหรือไม่

หรืออาจจะมีใครที่โปรไฟล์เข้าตาคนกรุงมากกว่า และไม่จำเป็นต้องเป็นคนของรัฐบาล เพราะต้องยอมรับว่าคนจำนวนไม่น้อย อยากลองของใหม่ และคิดว่า กทม. น่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่ได้อีกมากมาย