BGC เล็งปิดดีลซื้อกิจการ ดันรายได้ปีนี้โต 35%

BGC เล็งปิดดีลซื้อกิจการ ดันรายได้ปีนี้โต 35%

"บีจีซี" คาดรายได้ปีนี้ โต 35% จากปีก่อนที่ 1.1 หมื่นล้าน เล็งปิดดีลซื้อกิจการใหม่ 3 บริษัท ภายในปีนี้ คาดใช้งบลงทุนรวม 2.5 พันล้าน พร้อมปักธง 5 ปีรายได้แตะ 2.5 หมื่นล้าน หวังธุรกิจใหม่เสริมรายได้เพิ่ม

    นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด(มหาชน(BGC) กล่าวว่า สำหรับทิศทางการดำเนินงานปี 2564 บริษัทคาดว่า รายได้รวมน่าจะเติบโตได้ระดับ 35% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1.1หมื่นล้านบาท หากสามารถปิดดีลการซื้อกิจการ หรือ M&A ในปีนี้ได้สำเร็จทั้ง 3 ดีล

    โดยเป็นดีลซื้อกิจการจาก 2 บริษัทในเครือได้แก่ บริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (BGP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายฟิล์มพลาสติก และบริษัท บางกอกบรรจุภัณฑ์ จำกัด (BVP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์กระดาษ ซึ่งมีกำลังการผลิตถึง 5 หมื่นตันต่อปี

    ทั้งนี้เบื้องต้น บริษัทจะเข้าถือหุ้นทั้งหมด 100% ใน 2 บริษัทข้างต้น โดยคาดจะใช้งบลงทุนรวมราว 1.65 พันล้านบาท โดยจะมาจากการใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะสามารถรักษาอัตราหนี้สินต่อทุนหรือ D/E ไม่ให้เกิน 2.5% ได้ ทั้งนี้หากได้รับการอนุมัติซื้อกิจการจากผู้ถือหุ้น 9เม.ย.นี้ คาดว่าสองบริษัทนี้จะสามารถรับรู้รายได้ทันทีตั้งแต่พ.ค.เป็นต้นไป และมองว่าการซื้อกิจการดังกล่าวมีโอกาสคืนทุนได้ภายใน 10ปีข้างหน้า

   นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการอีก 1ดีล ที่เป็นดีลนอกเครือ ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับกล่องกระดาษ โดยมีกำลังการผลิต 1 แสนตันต่อปี ซึ่งคาดว่าจะใช้งบลงทุนราว 900 ล้านบาท โดยคาดว่ามีโอกาสปิดดีลได้ภายในไตรมาสแรกปีนี้

    “ปัจจุบันเรามีแค่ธุรกิจ Glass packaging และพลังงาน ดังนั้นเราจึงมีแนวคิดในการทำธุรกิจอื่นๆ เพื่อต่อยอดจาก Glass packagingได้ อนาคตเราต้องการให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ พร้อมฉลาก ฝา และกล่องกระดาษ เราจึงซื้อกิจการอื่นๆเข้ามาเสริมการเติบโต ซึ่งคาดปีนี้ใช้งบลงทุนรวมราว 2.5พันล้าน"

   อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้ารายได้ในช่วง 5 ปีข้างหน้า หรือปี 2568 เป็น 2.5 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่า จะมาจากธุรกิจเดิม 1.5 หมื่นล้านบาท และจากกิจการใหม่เข้ามาช่วยเสริมรายได้ให้บริษัทเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านบาท

   นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้า เพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ เพิ่มในปีนี้เป็น 12% และภายใน 5 ปีข้างหน้าเป็น 15-20% จากสิ้นปีก่อนที่สัดส่วนรายได้ต่างประเทศอยู่เพียง 8% เท่านั้น เนื่องจากมองว่ายังมีโอกาสเติบโตในต่างประเทศได้อีกมาก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐ ที่มีดีมานด์และมาจิ้นที่ดีเพิ่มขึ้น