‘คุมโควิดได้-ส่งออกพุ่ง’หนุนจีดีพีจีนโตตามเป้า

‘คุมโควิดได้-ส่งออกพุ่ง’หนุนจีดีพีจีนโตตามเป้า

ดูเหมือนว่าการที่รัฐบาลจีนประกาศตั้งเป้าจีดีพีปีนี้ว่าต้องทำให้ขยายตัวให้ได้กว่า 6%ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลต้องออกแรงมากนัก เมื่อดูจากตัวเลขเศรษฐกิจของจีนหลายๆตัวที่สะท้อนให้เห็นว่าสดใสกว่าชาติอื่นๆในยุคโรคโควิด-19ระบาด

ข้อมูลอย่างเป็นทางการที่เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์(7มี.ค.)บ่งชี้ว่า การส่งออกของจีนทะยานสูงสุดในรอบกว่าสองทศวรรษ โดยการนำเข้าของประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากฟื้นตัวจากการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักเป็นเวลานาน

การส่งออกของจีนเพิ่มขึ้น 60.6% เมื่อเทียบเป็นรายปีในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ.ถือว่าสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยตัวเลขส่งออกได้รับแรงหนุนจากการจัดส่งสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น 54.16% ขณะที่สิ่งทอรวมถึงหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้น 50.26% ส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้น 22.2%

การส่งออกเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเนื่องจากความต้องการอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ที่ทำงานจากที่บ้านทั่วโลก ซึ่งช่วยหนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในรูปตัววีและจีนเป็นเพียงประเทศเดียวที่เศรษฐกิจขยายตัวในปี 2563

อย่างไรก็ตาม การส่งออกของจีนที่เพิ่มขึ้นนี้สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับการส่งออกของจีนเมื่อปีที่แล้วที่ลดลงประมาณ 17% และการนำเข้าลดลง 4% นอกจากนี้ หน่วยงานศุลกากรของจีนยังระบุว่า ตัวเลขการเกินดุลการค้าโดยรวมของจีนอยู่ที่ 103,300 ล้านดอลลาร์

หน่วยงานศุลกากรของจีนเริ่มเผยแพร่ข้อมูลโดยรวมช่วง 2 เดือนแรกของปีมาไว้ด้วยกันตั้งแต่ปี 2563 สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของสำนักงานสถิติแห่งชาติ

นอกจากตัวเลขส่งออกของจีนจะสดใสแล้ว ทางการจีนยังรายงานด้วยว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ จีนนำเข้าน้ำมันดิบรวมกัน 89.57 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4.1% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 และเพิ่มขึ้น 9.5% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 เนื่องจากเชื้อเพลิงกำลังเป็นที่ต้องการ ขณะที่จีนก็มีขีดความสามารถในการกลั่นเพิ่มขึ้นด้วย

ตัวเลขดังกล่าวเท่ากับว่า จีนมีการนำเข้าน้ำมันดิบ 11.08 ล้านบาร์เรล/วันในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้

ความต้องการน้ำมันฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้จีนต้องสั่งล็อกดาวน์จนกระทบต่อการใช้น้ำมันเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าการใช้น้ำมันจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะชะลอตัวลงเล็กน้อยในไตรมาสสองหลังราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะยานแตะระดับสูงสุดในรอบ 13 เดือน

ขณะที่ในการประชุมประจำปีของสมาชิกสภานิติบัญญัติระดับชาติในกรุงปักกิ่ง เพื่อกำหนดรายละเอียดของพันธกิจเพื่อการพัฒนาคุณภาพสูง “หลี่ เค่อเฉียง” นายกรัฐมนตรีของจีน รายงานการปฏิบัติงานของรัฐบาลต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่เริ่มการประชุมประจำปีในวันศุกร์ (5 มี.ค.) เป็นวันแรกว่า เป้าหมายผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เป็นหนึ่งในหลายเป้าหมายสำคัญของประเทศ ซึ่งจีนกำหนดเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจไว้มากกว่า 6% ในปีนี้ โดยอาศัยความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นตัวผลักดัน

“ในการตั้งเป้าจีดีพีครั้งนี้ เราคำนึงถึงการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นหลัก และการตั้งเป้าให้ขยายตัวมากกว่า 6% จะทำให้ทุกคนอุทิศแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่ เพื่อส่งเสริมการปฏิรูป นวัตกรรม และการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง”นายหลี่ กล่าว

นอกจากนี้ ในปีนี้ จีนยังตั้งเป้าสร้างตำแหน่งงานในพื้นที่เมืองเพิ่มมากกว่า 11 ล้านอัตรา ลดสัดส่วนการขาดดุลต่อจีดีพีลงเหลือ 3.2% และขยายอุปสงค์ภายในประเทศ รวมทั้งการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจจีนหวนกลับมาเฟื่องฟูเทียบเท่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาดของโรคโควิด-19 นั่นคืออัตราการเติบโตของจีดีพีกลับมาอยู่ที่ 6% เหมือนในปี 2562

รายงานชิ้นนี้ ยังระบุว่าปี 2564 จีนจะดำเนินการพัฒนาด้านต่างๆ โดยเน้นคุณภาพสูง ผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างด้านอุปทาน เสริมสร้างความแข็งแกร่งและขยายความสำเร็จของการรับมือกับโรคโควิด-19 และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงพันธกิจสำคัญอื่นๆ

“ความพยายามเหล่านี้จะช่วยให้จีนเริ่มต้นได้ดีในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 (ปี2564-2568) และต้อนรับวาระครบรอบ 100 ปี การก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วยความสำเร็จในการพัฒนาอันโดดเด่น” หลี่กล่าว

แต่“หู ซูไค” รองผู้อำนวยการคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน (เอ็นดีอาร์ซี) เปิดเผยวานนี้ (8มี.ค.)ว่าในการกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14นั้น จีนไม่กำหนดเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจ เพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกำหนดนโยบายของจีนมีเวลามากขึ้นในการทบทวนเกี่ยวกับความไม่แน่นอนและตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไปได้ดีขึ้น