2 บ.โฮลดิงส์เมียนมาแหล่งรายได้กองทัพ

2 บ.โฮลดิงส์เมียนมาแหล่งรายได้กองทัพ คือบริษัท Myanmar Economic Corporation (เอ็มอีซี) และ บริษัท Union of Myanmar Economic Holdings Ltd. (เอ็มอีเอชแอล)
นักวิเคราะห์และวิจารณ์การเมืองโลก ให้ความเห็นว่า การทำรัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนเมื่อวันที่ 1 ก.พ.จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีแหล่งเงินทุนหลักของกองทัพสองแห่งคือ บริษัท Myanmar Economic Corporation (เอ็มอีซี) และ บริษัท Union of Myanmar Economic Holdings Ltd. (เอ็มอีเอชแอล) ซึ่งทั้งสองบริษัทโฮลดิงส์นี้เป็นเจ้าของบริษัทไม่น้อยกว่า 106 แห่งในหลากหลายอุตสาหกรรม ในจำนวนนี้อย่างน้อย 45 แห่งเป็นบริษัทที่เอ็มอีเอชแอลเป็นเจ้าของโดยตรง ขณะที่เอ็มอีซีลงทุนโดยตรงอย่างน้อย 61 บริษัท
เอ็มอีเอชแอล ก่อตั้งเมื่อปี 2533 เน้นลงทุนธุรกิจขนาดกลาง เช่น แปรรูปพลอย-หยก , เฟอร์นิเจอร์, บริการการเงินและประกันภัย, อาหาร เครื่องดี่ม, โรงแรม, นำเที่ยว, แท็กซี่, ขนส่ง, อสังหาฯ และนำเข้า-ส่งออก ส่วนเอ็มอีซี ก่อตั้งเมื่อปี 2540 โดย พล.ท.ติน หล่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงกิจการทหารของพม่าในขณะนั้น เน้นลงทุนในภาคอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างผลกำไรให้กับกองทัพได้ เช่น ธุรกิจปูนซีเมนต์และยาง ปัจจุบัน เอ็มอีซี มีธุรกิจในเครือครอบคลุมทั้ง แก๊ส, น้ำมัน, เหมืองเหล็ก เหมืองพลอย, หยก, แกรนิต, หินอ่อน, ผลิตยางรถยนต์, เบียร์, ธนาคาร, ท่าเรือ, ผลิตชา-กาแฟ, จนถึงโทรคมนาคม
นอกจากนี้ บริษัทโฮลดิงส์ทั้งสองแห่ง ยังครอบครองกิจการธนาคารรายใหญ่ของเมียนมา คือ ธนาคารเมียวดี และธนาคารอังวะ จากข้อมูลของธนาคารโลก พบว่า เฉพาะธนาคารเมียวดี ซึ่งมี เอ็มอีเอชแอล เป็นเจ้าของ มีสินทรัพย์โดยรวมมากถึง 855 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 4 ของประเทศ และธนาคารนี้ยังถูกใช้เป็นช่องทางให้บริการจ่ายเงินเกษียณให้กับบุคลากรของกองทัพ และสมาคมทหารผ่านศึก
ขณะนี้ ภาคธุรกิจพลเรือนในเมียนมาพูดคุยกันมากถึงบรรยากาศการทำธุรกิจแบบ“ซิซิลีในยุคมาเฟียครองเมือง”ขณะที่บรรดานักเคลื่อนไหวทางการเมืองบอกว่า การปฎิรูปประชาธิปไตยไม่มีวันเกิดขึ้นได้หากว่าทหารไม่กลับเข้าไปในบังเกอร์และทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติ
รายได้จากกิจการเหล่านี้ ทำให้กองทัพมีอิสระทางการเงินจากรัฐบาล อำนาจในการปกครองตนเองของกองทัพแข็งแกร่งขึ้น กำไรจากธุรกิจถูกนำไปใช้ในการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะชนกลุ่มน้อย และความรุนแรงตามแนวชายแดน สอดคล้องกับข้อมูลลับด้านการทูตของสถานทูตสหรัฐ ที่รายงานว่า กลุ่มบริษัททั้งสองทําหน้าที่เป็นองค์ประกอบสําคัญของระบบอุปถัมภ์อันซับซ้อน เพื่อให้กองทัพรักษาอำนาจไว้ได้ โดยเน้นลงทุนในภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งและความรุนแรง สังเกตจากลักษณะของธุรกิจที่มีส่วนสร้างความวุ่นวายตามพื้นที่ของชนกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างธุรกิจเหมืองอัญมณี ซึ่งเป็นตัวทำเงินให้ทั้งสองบริษัทอย่างงาม
หนึ่งในคณะผู้ตรวจสอบให้ความเห็นว่า ภายใต้ความหลากหลายของกลุ่มธุรกิจ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลีกเลี่ยงสินค้า หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ
ที่ผ่านมา รัฐบาลเมียนมาภายใต้การนำของพรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย(เอ็นแอลดี) พยายามดำเนินการในหลายรูปแบบเพื่อปฏิรูปธุรกิจและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจให้โปร่งใส เพื่อเอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะการเปิดให้มีการจดทะเบียนองค์กรธุรกิจ จัดให้เอกชนเข้าประกวดราคา แต่บางส่วนของเศรษฐกิจที่สร้างผลกำไรขนาดใหญ่ยังคงอยูใต้ร่มเงาของกองทัพที่บรรดานายพลและอดีตนายพลเกษียณรับผลประโยชน์อยู่
ครั้งหนึ่งคณะกรรมการการลงทุนและการบริหารบริษัทของเมียนมา เปิดเผยข้อมูลบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมเหมือง 162 บริษัท ในจำนวนนี้รวมถึงบริษัทกิจการเหมืองและแปรรูปพลอยที่อยู่ภายใต้บริษัทโฮลดิ้งของกองทัพ หลายบริษัทไม่สามารถปิดเผยข้อมูลได้ว่าใครเป็นผู้บริหาร ใครเป็นผู้ถือหุ้น
ข้อมูลที่เอ็มอีเอชแอล เปิดเผยต่อคณะกรรมการลงทุนเมียนมา ระบุแต่เพียงว่า ผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นนายพลสองนาย และนายพลเกษียณหนึ่งนายในกองทัพ นายทหารเหล่านี้ถือครองหุ้นในบริษัท 1 ใน 3
นอกจากนี้ ยังเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหุ้นอีก 50 ชื่อ ทั้งหมดไม่มีใครดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่จำนวนการถือหุ้นของทั้ง 50 คน คิดเป็นเพียง 1% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท ส่วนหุ้นที่เหลือไม่มีการระบุชื่อ เช่นเดียวกับรายงานผู้ถือหุ้นในบริษัทเอ็มอีซีที่มีความไม่ชัดเจนพอๆกัน
ด้านกองทัพเมียนมา อ้างว่าบริษัทเหล่านี้มีส่วนช่วยแบ่งเบาและลดการพึ่งพางบประมาณของรัฐ แต่ก็ไม่เคยเผยผลกำไรที่ชัดเจนว่ามีมากเท่าไร และถูกใช้ไปกับเรื่องใด เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่เขียนโดยกองทัพ ให้สิทธิในการบริหารและตัดสินกิจการทั้งหมดของกองทัพอย่างเป็นอิสระ