เน้นตั้งรับเมื่ออ่อนตัว ในกลุ่มงบดี และหุ้นปันผลสูง

เน้นตั้งรับเมื่ออ่อนตัว ในกลุ่มงบดี และหุ้นปันผลสูง

สถานการณ์โควิดทั่วโลกทำให้ภาพกาลงทุนระยะสั้นผันผวน

ภาพรวมการรายงานผลประกอบการในตลาดหุ้นใหญ่อย่างสหรัฐฯ ยังออกมาดี อย่างไรก็ตามสถานการณ์ระบาดในหลายประเทศ ทำให้เห็นว่าการกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวยังไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในเร็วๆนี้ ส่งผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มสายการบิน เรือสำราญ นอกจากนี้การระบาดของอินเดียที่เป็นประเทศผู้บริโภคน้ำมันลำดับต้นๆ ทำให้มีราคาน้ำมันดิบปรับลดลง ซึ่งเรามองราคาสินค้าโภคภัณฑ์และหุ้นพลังงานอาจจะผันผวนระยะสั้นสลับไปมาจนกว่าจะเห็นโมเมนตัมที่เร่งตัวขึ้นของเศรษฐกิจอย่างชัดเจน การลงทุนจึงเน้นซื้อตั้งรับเมื่อ่อนตัว หรือเลือกหุ้นที่ยัง Laggard  

ภาพรวมงบกลุ่มธนาคารดีกว่าคาด ทั้ง KBANK (27%), BBL (18%), BAY (23), KTB (23%), TMB (15%) โดยภาพรวมรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารขนาดใหญ่กลับมาเติบโตได้ดี ขณะที่การตั้งสำรองที่ลดลงเป็นปัจจัยสำคัญหนุนการฟื้นตัวของผลประกอบการ และทำให้เราคาดกำไรกลุ่มธนาคารจะกลับมาเติบโตขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะในหุ้นเด่นหุ้นที่เราชอบได้แก่ KBANK และ BBL ทีคาดว่าผลประกอบการปี 2564 จะเติบโตขึ้น 17% และ 41% แม้การปรับประมาณการ GDP ของกระทรวงการคลัง (28 เม.ย.) อาจจะยังเป็นปัจจัยจำกัดการปรับขึ้นของหุ้นในกลุ่มธนาคารในระยะสั้น อย่างไรก็ตามเรามองทิศทางการปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตร จะยังเป็นปัจจัยสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนของหุ้นธนาคารในระยะกลาง

มองหุ้นกำไรไตรมาส 1/64 แข็งแกร่ง และหุ้นปลอดภัย  เราคาดไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายจากธนาคารกลางสำคัญของโลกจากการประชุมในช่วง 2 สัปดาห์นี้ของ ธนาคารกลางยุโรป (22 เม.ย.) และธนาคารกลางสหรัฐฯ (27-28 เม.ย.) ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ติดตามตัวเลขส่งออก (22 เม.ย.) คาดเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มอาหารและสินค้าเกษตร และเรามองหุ้นสื่อสาร หุ้นปันผลสูง ซึ่งส่วนใหญ่เคลื่อนไหวด้อยกว่าตลาดในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา อาจเคลื่อนไหวได้ดีในช่วง 1 สัปดาห์ข้างหน้า จากการกระจายการลงทุนเพื่อระวังความเสี่ยงจากการปรับฐานระยะสั้น และจากการปรับประมาณการเศรษบกิจสะท้อนความเสี่ยงจากโควิดระลอกใหม่

กลยุทธ์ยังเน้นเลือกเก็งกำไรรายตัวในธีมที่น่าสนใจ ได้แก่ 1) ธนาคาร จากการผ่อนคลายเศรษฐกิจ และมาตรการออก REIT buy back รวมถึง Asset warehousing เราชอบธนาคารที่ยัง Laggard อย่าง BBL, SCB, TISCO 2) กลุ่มการแพทย์ BCH, CHG 3) ได้ประโยชน์จากเราชนะ TNP เนื่องจากเป็นร้านค้าธงฟ้า 4) ไฟฟ้าชุมชน เรามองบวกต่อพลังงานทดแทน โดยเฉพาะ ETC และ ACE 5) Re-rating PTG 6) ปันผลและกองรีทส์ ADVANC, BTSGIF, CPNREIT, AIMIRT, FTREIT, EASTW, WHAUP, TTW, TIP 7) กลุ่มพลังงาน ปิโตรฯ PTT, PTTGC, IVL, TOP ส่วน SCC ยังขึ้นน้อยที่สุดใน 1 ปี ที่ผ่านมา 8) งบไตรมาส 1/64 โดดเด่น ได้แก่ SCC, BANPU, SUPER, TVO, PTT, FTREIT, WHART, EASTW, WHAUP 9) การขายประกันโควิด บวกต่อ THRE, TIP, TQM

ภาพรวมกลยุทธ์ แม้ระยะสั้นอาจผันผวนจากความกังวลการระบาดระลอกใหม่ แต่ยังมองหลังสงกรานต์ฟื้นตัวจากผลประกอบการไตรมาส 1/64 เน้นเลือกหุ้นผสมระหว่างฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและทยอยสะสมหุ้นปันผลสูง กองรีทส์ที่มีการถือครองต่ำ รวมถึงหุ้นที่ยังขึ้นน้อย // หุ้นแนะนำวันนี้ เก็งกำไร CPF*, PTG*, WHAUP*, EASTW*

แนวรับ 1,565 / แนวต้าน : 1,580-1,600 จุด สัดส่วน : เงินสด 40% : พอร์ตหุ้น 60%

ประเด็นการลงทุน

ราคาเหล็กโลกพุ่งทะยาน 2 เท่า ดันต้นทุนรับเหมาเพิ่ม 37%. ส.อ.ท. ชี้อุปสงค์เหล็กโลกฟื้นดันราคาพุ่ง 2 เท่าทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 1,400 เหรียญฯ/ตัน จีน-ญี่ปุ่นดูดซื้อเหล็กต้นน้ำส่งผลกระทบต่อการผลิตเหล็กของไทย ด้านโรงเหล็กแผ่นในประเทศปรับขึ้นราคาตาม กระทบรับเหมา ก่อสร้าง จากต้นทุนที่สูงขึ้น 37.5%

มาตรการช่วยเหลือรอบใหม่ คลังเตรียมออกมาตรการช่วยเหลืออีกรอบเดือน พ.ค. ก่อนใช้ มิ.ย. พร้อมทั้งเตรียมมาตรการดึงเงินฝากที่มีอยู่ 5-6 แสนล้านบาทออกมาใช้จ่าย

ครม.เพิ่มสิทธิ เราชนะ อีก 2.4 ล้านคน พร้อมขยายเวลาใช้เงิน. ถึง 30 มิ.ย.64 เป็นบวกต่อ TNP และคาดบวกต่อหุ้นค้าส่งอย่าง MAKRO ขณะที่อาจส่งผลบวกเล็กน้อยต่อหุ้นกลุ่มเครื่องดิ่ม อาทิ CBG, OSP, ICHI

แอปเปิลเปิดตัวสินค้าใหม่ – เมื่อคืนที่ผ่านมา Apple Inc ทำการเปิดตัวสินค้าใหม่ ได้แก้ Air Tag, Apple TV 4K (ใหม่), iPad Pro รุ่น 11 และ 12.9 นิ้ว ที่ใช้ชิปตัวใหม่ (M1)

ค่าระวางเรือ - ดัชนี Baltic Dry Index (BDI) ปิดที่ 2,472 จุด +1.64% โดยหลักมาจากการปรับขึ้นของ ค่าระวางเรือขนาดกลางอย่าง Panamax และ Supramax ซึ่งทิศทางการเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นบวกต่อ TTA และ PSL โดยเฉพาะ TTA ที่กองเรือเกือบทั้งหมดเป็น Supramax

ประเด็นติดตาม: - 22 เม.ย. : ECB Meeting/ 23 เม.ย. : US Manufacturing PMI เดือน เม.ย., EU Manufacturing PMI เดือน เม.ย. / 28 เม.ย. : FOMC Meeting

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)