'แอสเสทเวิรด์' ชี้เร่งฉีดวัคซีน หนุนแผนเดินหน้าฟื้นธุรกิจ
“แอสเสท เวิรด์” เผยผลประกอบการไตรมาส 1/64 ขาดทุน 594 ล้านบาท พิษโควิดระลอก 2-3 ซ้ำเติมท่องเที่ยว-บริการ ลั่นเตรียมความพร้อมเติบโตหลังสถานการณ์ฟื้นตัว
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้มีรายได้ 1,109 ล้านบาท ขาดทุน 594 ล้านบาท เป็นผลจากการระบาดของโควิดระลอก 2 และช่วงเริ่มต้นของระลอก 3 อย่างไรก็ดีผลประกอบการโดยรวมของไตรมาสแรกปีนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีและสามารถฟื้นตัวกลับมาได้เร็วกว่าเมื่อเทียบไตรมาส 2 ปี 2563 ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุดจากวิกฤติโควิด-19
“วิกฤติโควิดกระทบต่อธุรกิจต่างๆ ทุกภาคส่วนในไทยและทั่วโลก แต่บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ควบคุมสถานการณ์และสร้าง EBITDA จากการดำเนินธุรกิจให้เป็นบวกตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา”
บริษัทได้เตรียมความพร้อมด้านทรัพยากร และเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ภายในองค์กร พร้อมสนับสนุนแผนการดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูธุรกิจให้กลับมาสู่สภาวะปกติและเติบโตอย่างต่อเนื่องภายหลังจากที่ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดด้วยการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมอย่างทั่วถึง
ในส่วนของธุรกิจศูนย์การค้าในเครือซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดี คาดว่าอัตราการเช่าพื้นที่จะกลับมาอยู่ในระดับดำเนินงานปกติ เช่นเดียวกับธุรกิจอาคารสำนักงานเกรด A ในย่านธุรกิจ (CBD) ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ดี
ทั้งนี้บริษัทมี 4 โครงการที่ได้เปิดดำเนินการเพิ่มเทียบไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา จัดเป็นสินทรัพย์ที่อยู่ในช่วงดำเนินงานเริ่มต้น ประกอบด้วย โรงแรมมีเลีย เกาะสมุย, เรือสิริมหรรณพ, โครงการลาซาล อเวนิว เฟส 2 และโรงแรมบันยันทรี กระบี่ ได้เริ่มสร้างกระแสเงินสดให้บริษัท และสร้างผลประกอบการได้สูงกว่าตลาด
บริษัทยังได้ปรับโครงสร้างองค์กรควบคู่การควบคุมและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างเคร่งครัด โดยไตรมาส 1/2564 สามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ 39.5% และ 26.5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรวมลดลง 30.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลต่ออัตราส่วนอิบิทดาต่อรายได้ (EBITDA Margin) สูงขึ้น
บริษัทยังได้เล็งเห็นถึงโอกาสของทรัพย์สินคุณภาพที่ดำเนินงานในปัจจุบัน รวมทั้งโครงการในอนาคตที่ได้ทำสัญญาจะซื้อทรัพย์สินเข้ามาสร้างกระแสเงินสด โดยโครงการที่อยู่ในระหว่างพัฒนาสามารถเพิ่มการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต