'โควิด-19' ฉุดค่าใช้จ่ายเปิดเทอมใหญ่ ปี 64
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทบหนักต่อสภาพคล่องในครัวเรือนรายได้น้อย-ปานกลาง ส่งผลให้การใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2564 หดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้จัดทำการสำรวจมุมมองผลจากการระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีต่อผู้ปกครอง (ที่มีบุตรหลานเรียนในระดับชั้นอนุบาลจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย) ในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2564 จากกลุ่มตัวอย่าง 600 คน ในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล ซึ่งมีประเด็นน่าสนใจ ดังนี้
• ผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังกังวลต่อสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เมื่อบุตรหลานต้องกลับเข้าเรียนในโรงเรียน
การเปิดเทอมใหญ่ในปี 2564 นี้ ในหลายพื้นที่ยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย นอกจากการควบคุมการระบาดให้ได้โดยเร็ว การสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยผ่านแนวทางต่างๆ โดยเฉพาะการที่บุคลากรด้านการศึกษาได้รับวัคซีนอย่างครอบคลุมให้ได้มากที่สุดก่อนเปิดเทอม ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ภาครัฐวางแนวทางไว้ จะช่วยบรรเทาความกังวลของผู้ปกครองที่จะส่งบุตรหลานกลับสู่การเปิดเรียนตามปกติ
ผลสำรวจสะท้อนว่าผู้ปกครองกว่า 88.5% ยังมีความกังวลและไม่มั่นใจหากบุตรหลานต้องกลับไปเรียนอีกครั้ง เนื่องจากมองว่าการรระบาดครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรงและยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งยังไม่มีวัคซีนโควิดสำหรับเด็กนักเรียน ทั้งนี้ ผู้ปกครองในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดอยากเห็นสถาบันการศึกษามีมาตรการในการป้องกันเชื้อโควิด-19 อย่างเข้มงวดก่อนที่จะกลับมาเปิดเรียนอีกครั้ง ขณะที่กลุ่มตัวอย่างผู้ปกครองที่มีความมั่นใจประมาณ 11.5% มองว่ากว่าที่นักเรียนจะกลับเข้าเรียน สถานการณ์โควิดน่าจะคลี่คลายระดับหนึ่งแล้ว และทางสถานศึกษาคงมีมาตรการที่เข้มงวดในการเฝ้าระวัง
• การระบาดของโควิด-19 ระลอกนี้ กระทบหนักต่อสภาพคล่องในครัวเรือนรายได้น้อย-ปานกลาง
ในช่วงนี้ของทุกปี ผู้ปกครองต้องเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับการเปิดเทอมใหม่ เช่น ค่าเทอม ค่าบำรุงการศึกษาและกิจกรรมในโรงเรียน ค่าหนังสือ อุปกรณ์การเรียนและเครื่องแต่งกายนักเรียน ผลสำรวจสะท้อนว่าผู้ปกครอง 89.8% กังวลต่อสภาพคล่องทางการเงินในการใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตรหลานในการเปิดเทอมปี 2564 (ซึ่งมากกว่าผลสำรวจการใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอมปี 2563)
โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง (รายได้ต่อครัวเรือนต่ำกว่า 60,000 บาท เป็นกลุ่มพนักงานงานเอกชนและประกอบอาชีพอิสระ) ซึ่งได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย อาทิ ตนเองหรือสมาชิกในครอบครัวตกงาน ถูกปรับลดชั่วโมงทำงาน ไม่สามารถออกไปขายสินค้า ยอดขายของธุรกิจลดลง ซึ่งทำให้รายได้ในครัวเรือนลดลงแต่รายจ่ายยังคงเดิม
กลุ่มตัวอย่างที่มีความกังวลต่อสภาพคล่องทางการเงินมีแนวทางในการปรับตัวดังนี้ ส่วนใหญ่เลือกใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างประหยัด เลือกซื้อสินค้าถูกลงและยังไม่ซื้อใช้ของที่มีอยู่และมองหาแหล่งเงินจากหลายๆ ที่ นอกจากการใช้เงินออม อาทิ ยืมญาติ/เพื่อน ใช้สินเชื่อจากสถาบันการเงินอย่างบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด พึ่งโรงรับจำนำและขอผ่อนชำระหรือผ่อนผันกับทางโรงเรียน รวมทั้งปรับลดค่าใช้จ่ายในการเรียนกวดวิชาและเสริมทักษะ
• ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อทำให้การใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2564 หดตัวเป็นปีที่ 2
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าการใช้จ่ายในด้านการศึกษาอาจหดตัวลงประมาณ 6.6% เมื่อเทียบกับผลสำรวจในช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือมีมูลค่าประมาณ 26,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับลดลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ส่วนหนึ่งเพราะนโยบายลดภาระค่าเล่าเรียน เพื่อแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง รวมถึงจำนวนนักเรียนที่เข้าสู่ระบบลดลง แต่ที่สำคัญเป็นผลจากความระวังและการประหยัดของผู้ปกครอง ท่ามกลางผลกระทบจากโควิดต่อสภาพคล่อง รายได้ และการมีงานทำ