รู้จัก 'สารสไตรีนโมโนเมอร์' จากเหตุโรงงานหมิงตี้ เคมีคอล 'กิ่งแก้ว21' ระเบิด
เหตุการณ์ 'โรงงานโฟมระเบิด' ที่ 'กิ่งแก้ว21' สมุทรปราการ นอกจากผู้บาดเจ็บจำนวนมากแล้ว ยังมีความกังวลต่อ 'สารสไตรีนโมโนเมอร์' ที่รั่วไหลออกมา ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและถึงแก่ชีวิตได้
โดย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เร่งให้กรมควบคุมมลพิษสืบสวนข้อเท็จจริงว่าสาเหตุเกิดจากอะไร พร้อมกับยอมรับว่าครั้งนี้ มีความเสียหายเกิดขึ้นมากมายทั้งบ้านเรือนประชาชนและผลกระทบทางมลพิษ เร่งให้ผสานกับในพื้นที่ และร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยแก้ปัญหาพร้อมกับเตือนพี่น้องประชาชนในบริเวณดังกล่าวสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา
ขณะเดียวกัน กรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย สั่งประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงโรงงานดังกล่าวในรัศมี 5 กิโลเมตร อพยพด่วน เนื่องจากยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ และหวั่นไฟลามไปติดถังสารเคมี 20,000 ลิตร ที่อยู่ใกล้เคียง ทั้งนี้ ยังมีความกังวลเรื่อง 'สารสไตรีนโมโนเมอร์' เป็นสารตั้งต้นถังเก็บถูกไฟไหม้และระเบิด กระจายออกไปโดยรอบถึง 10 กิโลเมตร
- สารสไตรีนโมโนเมอร์ คืออะไร
- การใช้งาน
- ผลต่อสุขภาพ
- หลักการปฐมพยาบาล
1. ผู้ที่ได้รับอันตรายจากสารเคมีที่ผิวหนัง ให้ล้างผิวหนังบริเวณที่ถูกสารเคมีโดยใช้น้ำสะอาดล้างให้มากที่สุด เพื่อให้เจือจาง ถ้าสารเคมีเป็นกรดให้รีบถอดเสื้อผ้าออกก่อน
2. ผู้ที่ได้รับอันตรายจากสารเคมีที่ตา ให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที โดยเปิดเปลือกตาขึ้นให้ไหลผ่านตาอย่างน้อย 15 นาที ป้ายขี้ผึ้งป้ายตา แล้วรีบนำส่งแพทย์โดยเร็ว
3. ผู้ที่ได้รับอันตรายจากสารเคมีในการสูดดม ให้ย้ายผู้ที่ได้รับสารไปที่อากาศบริสุทธิ์ ประเมินการหายใจ และการเต้นของหัวใจ ถ้าไม่มีให้ทำการ CPR
- 7 ขั้นตอนการทำ CPR
ข้อมูลจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่า CPR วิธีการช่วยเหลือในภาวะฉุกเฉินร้ายแรง เพื่อทำให้ระบบไหลเวียนในเลือดผู้ป่วยกลับมาเป็นปกติ โดยการนำออกซิเจนเข้าร่างกาย และทำให้หัวใจเต้น สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมอง สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยกลุ่มโรคหัวใจที่หมดสติเฉียบพลัน หยุดการหายใจจาการจมน้ำ ถูกไฟฟ้าช็อต ขาดอากาศหายใจได้ด้วย
1. ตรวจดูว่าผู้ป่วยหมดสติจริงหรือไม่ โดยการเรียกและตีที่ไหล่เบาๆ
2. จัดท่าให้ผู้ป่วยนอนหงายราบกับพื้นแข็งและตรวจดูในปากว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่หรือไม่ ถ้ามีให้นำออก
3. เปิดทางเดินหายใจโดยดันหน้าผากและยกคางให้ใบหน้าหงายขึ้น
4. ตรวจว่าผู้ป่วยหายใจหรือไม่โดยการฟัง ก้มลงให้หูอยู่ใกล้ปากและจมูกของผู้ป่วย ฟังเสียงลมหายใจตามองดูหน้าอกว่าขยับขึ้นลงหรือไม่
5. ถ้าผู้ป่วยหายใจดีและไม่มีการเจ็บของกระดูกคอและกระดูกสันหลัง ให้จัดท่านอนตะแคงกึ่งคว่ำ ให้จับแขนด้านไกลตัว ข้ามหน้าอกมาวางมือไว้ที่แก้มอีกข้างหนึ่งแล้วดึงตัวให้พลิกตัว
6. ถ้าผู้ป่วยไม่หายใจช่วยหายใจด้วยวิธีเป่าปาก โดยประกบปากผู้ป่วยเป่าลมเข้าปากผู้ป่วยช้า ๆ สม่ำเสมอ10-12 ครั้ง ใน 1 นาที อย่าเป่าติดกันโดยไม่รอให้ผู้ป่วยหายใจไม่ออก (ปัจจุบัน เป่าปาก 2 ครั้ง นวดหน้าอก : 30 ครั้ง : จำนวน 5 รอบ )
ข้อควรระวัง คือ ต้องมั่นใจว่าในปากผู้ช่วยเหลือและผู้ป่วยไม่มีแผล ไม่เป่าลมมากจนเกินไปเพราะจะทำให้เกิดการอาเจียน ซึ่งอาจมีเศษอาหารติดทางเดินหายใจ
7.ตรวจชีพจร ให้ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางลงบนลูกกระเดือกของผู้ป่วย วางแล้วเลื่อนมือลงมาด้านข้างระหว่างช่องลูกกระเดือกกับกล้ามเนื้อคอ
- กรณีเกิดเพลิงไหม้
กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ระบุใน คู่มือการจัดการสารเคมีอันตรายสูง ทั้งกรณีเพลิงไหม้เล็กน้อย และกรณีเพลิงไหม้รุนแรง ดังนี้
กรณีเพลิงไหม้เล็กน้อย
ใช้ผงเคมีแห้ง คาร์บอนไดออกไซด์ โฟม (Regular foam) หรือฉีดน้ำเป็นฝอย
กรณีเพลิงไหม้รุนแรง
1. ใช้ผงเคมีแห้ง คาร์บอนไดออกไซด์ หรือโฟมดับเพลิง และให้ฉีดน้ำเป็นฝอยเพื่อหล่อเย็นให้กับถังเก็บ
2. ห้ามใช้น้ำฉีดไปยังบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้โดยตรง เพราะจะทำให้เกิดการกระจายตัวของเพลิงมากขึ้น
3. หากกระทำได้ให้เคลื่อนย้ายภาชนะบรรจุที่ยังไม่เสียหายออกจากบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้
4. ให้รายงานแจ้งเหตุ และปฏิบัติตามแผนตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน
5. แจ้งเหตุการณ์เกิดเพลิงไหม้ไปยังโรงงานข้างเคียง เพื่อป้องกันเหตุหรือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากเพลิงไหม้
6. ในกรณีที่ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ให้ติดต่อประสานงานกับหน่วยงานภายนอก เช่น สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เป็นต้น เพื่อขอความช่วยเหลือในการควบคุมสถานการณ์