'สปสช.'ย้ำมาตรการ ดูแลผู้ป่วยโควิดที่บ้าน - ชุมชน เสมือนอยู่ รพ.
'สปสช.' ย้ำมาตรการเสริม 'ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่บ้าน' และที่ชุมชน ย้ำยังได้รับการดูแลจากแพทย์เสมือนอยู่ใน รพ. พร้อมสนับสนุนค่าอาหาร บริหารจัดการให้ รพ. 1,000 บาทต่อวัน และค่าอุปกรณ์วัดอุณภูมิ วัดระดับออกซิเจน ไม่เกิน 1,100 ต่อคน
วันนี้ (9 ก.ค. 64) นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงมาตรการ Home Isolation หรือการ 'ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่บ้าน' และมาตรการ Community Isolation หรือการดูแลผู้ป่วยโควิดด้วยระบบชุมชนว่า มาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการเสริมซึ่งจะนำมาใช้ในพื้นที่ที่เตียงเต็มจริงๆ โดยเฉพาะ กทม. และปริมณฑล ส่วนพื้นที่ต่างจังหวัดยังคงมีเตียงว่างเหลืออยู่และยังคงใช้มาตรการหลักคือการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนาม
นพ.จเด็จ กล่าวว่า Home Isolation และ Community Isolation ของไทยนั้น กรมการแพทย์จะออกแบบให้เหมือนเปลี่ยนบ้านเป็นโรงพยาบาล หมายความว่าผู้ป่วยที่อยู่ที่บ้านหรือที่ชุมชนก็จะได้รับการดูแลเสมือนอยู่โรงพยาบาล การรักษาพยายามทำให้เหมือนอยู่โรงพยาบาลให้มากที่สุด เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่จากโรงพยาบาลสนามไปเป็นที่บ้านหรือที่ชุมชน มีแพทย์ดูแล มีอุปกรณ์ไปให้ มียา มีอาหารไปให้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 4 ปัจจัย เหมาะสม Home Isolation
นพ.จเด็จ กล่าวว่า สำหรับผู้ป่วยที่จะใช้กับมาตรการ Home Isolation จะมีปัจจัยกำหนดความเหมาะสม 3-4 ประการคือ
1.ตัวผู้ป่วยต้องพร้อม อาการคือต้องไม่รุนแรงหรือที่เป็นผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียว ไม่มีอาการปอดอักเสบ ไม่มีอาการแทรกซ้อน ไม่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก
2.ต้องดูที่พักว่าพร้อมหรือไม่ เช่น ไม่ได้อยู่กันแออัดจนแยกกักตัวไม่ได้ ถ้าอยู่กัน 2-3 คนแล้วนอนรวมกัน แบบนี้ก็ Home Isolation ไม่ได้เพราะจะเกิดการแพร่เชื้อ ต้องเป็น Community Isolation หรือที่ชุมชนจัดให้แทน
3.ตัวผู้ป่วยก็ต้องมีความเข้าใจและให้ความร่วมมือในการกักตัว เพราะคำว่าอยู่ที่บ้านก็คืออยู่บ้านจริงๆไม่ใช่ออกไปเดินนอกบ้านจนทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อ
4.ตัวโรงพยาบาลต้องพร้อมเข้าไปดูแลด้วย เพราะต้องจัดระบบให้เสมือนอยู่โรงพยาบาลเลย เช่น ต้องมีแพทย์ที่สามารถทำ Video call ติดตามอาการคนไข้ได้ทุกวัน โรงพยาบาลต้องมีอุปกรณ์วัดอุณหภูมิและอุปกรณ์วัดระดับออกซิเจนให้ ที่สำคัญคือต้องมีอาหารให้ 3 มื้อ
"เราเชื่อว่าอาหารเป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้ผู้ป่วยเดินออกนอกบ้าน ดังนั้นโรงพยาบาลที่จะทำ Home Isolation หรือ Community Isolation ต้องมีความพร้อมที่จะจัดอาหารไปให้ จะจัดเองหรือจะจ้างบริษัทส่งอาหารไปให้ก็ได้" นพ.จเด็จ กล่าว
- ค่าอาหารให้ รพ. 1,000 บาทต่อคนต่อวัน
นพ.จเด็จ กล่าวอีกว่า ในส่วนของ สปสช. ได้เตรียมงบประมาณสนับสนุนไว้แล้ว โดยจะมีการจ่ายรายการต่างๆเหมือนอยู่โรงพยาบาล และยังมีเพิ่มค่าอาหารและค่าบริหารจัดการให้อีกวันละ 1,000 บาท ให้กับโรงพยาบาลตามจำนวนวันที่ผู้ป่วยอยู่ ตรงค่าอาหารนี้ขอย้ำว่าไม่ได้จ่ายให้ผู้ป่วยโดยตรงแต่จ่ายให้กับโรงพยาบาลซึ่งจะไปบริหารจัดการให้ผู้ป่วยอีกที และค่าอุปกรณ์วัดอุณหภูมิและอุปกรณ์วัดระดับออกซิเจนไม่เกินคนละ 1,100 บาท ส่วนยา ถ้าจำเป็นต้องให้ยาก็สามารถจัดส่งให้ได้เลยแล้วแพทย์แนะนำการใช้ยาว่าต้องใช้อย่างไร
"3-4 ประเด็นนี้ถ้ามีความพร้อม ก็สามารถทำ Home Isolation และ Community Isolation ได้ และการทำ Home Isolation หรือ Community Isolation ยังทำได้ 2 แนวทาง คือ เริ่มให้การรักษาที่บ้านหรือที่ชุมชนเลยเมื่อพบว่าติดเชื้อ เช่น เตียงเต็มไม่สามารถหาให้ได้ แทนที่จะรอจนเตียงว่างก็เริ่มการรักษาที่บ้านหรือที่ชุมชนของท่านจัดไว้ได้เลย ส่งยา ส่งอุปกรณ์ไปให้เลย จะช่วยป้องกันไม่ให้อาการแย่ลงได้ดีมาก หรืออีกกรณี คนไข้อยู่โรงพยาบาลจนอาการดีขึ้นแล้ว ก็กลับไปอยู่ที่บ้านพร้อมยาและอุปกรณ์ ก็จะทำให้มีเตียงว่างที่จะรองรับผู้ป่วยรายใหม่ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้หากอาการคนไข้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่แย่ลง ต้องพร้อมนำตัวกลับมาอยู่ในโรงพยาบาล สปสช.ก็จะมีค่ารถรับส่งให้อีกด้วย" นพ.จเด็จ กล่าว
นพ.จเด็จ กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับชุมชนที่อยู่อาศัยหรือคอนโดมิเนียม ก็อยากสื่อสารว่าการดูแลผู้ป่วยที่บ้านไม่ได้อันตราย หรือทำให้ติดกันง่ายดายขนาดนั้น แต่ถ้าไม่สบายใจจริงๆ ก็แนะนำให้ผู้ป่วยกลับมาอยู่โรงพยาบาลดีกว่าเพราะถือว่าเป็นความไม่พร้อมของชุมชน ถ้าไม่พร้อมก็ไม่ควรไปฝืนความรู้สึกของสังคมรอบข้าง หรือไม่ก็ทำ Community Isolation หมายถึงชุมชนดูแลกันเอง อาจเป็นวัดหรือโรงเรียนใกล้บ้าน แล้วจัดเป็นลักษณะคล้ายๆโรงพยาบาลแล้วย้ายผู้ป่วยในชุมชนมาอยู่ที่นี่แล้วมีโรงพยาบาลไปดูแลให้ ซึ่งแนวทางทั้งหมดนี้ถ้าทำดีๆจะไม่เกิดภาวะเตียงเต็ม ผู้ป่วยก็ได้รับบริการที่พึงพอใจ
"ก็ขอให้มั่นใจว่ามาตรการต่างๆที่ออกมาอยู่บนพื้นฐานของประโยชน์ประชาชนและการควบคุมโรค โรคโควิดเปลี่ยนแปลงเร็ว เราต้องทำงานให้เร็ว มาตรการต่างๆเหล่านี้เราเตรียมไว้แต่อาจไม่ได้ใช้ แต่ถ้าวันที่จะใช้แล้วไม่ได้ใช้จะเป็นปัญหา ดังนั้นการเตรียม Home Isolation, Community Isolation ก็ไม่อยากให้ตกใจว่าทำไมถึงมีมาตรการนี้ แล้วขอให้มั่นใจว่ามีแพทย์ดูแล เพียงแต่ปรับรูปแบบให้เหมาะกับสังคมไทยเพื่อให้สามารถควบคุมป้องกันโรคแล้วผ่านวิกฤตินี้ไปได้โดยเร็ว" นพ.จเด็จ กล่าว