เจ็บนาน แต่ไม่จบ จับกระแส เปลี่ยนเกมไล่ “ประยุทธ์”
จุดเปลี่ยนม็อบ 7 สิงหาฯ ต้องจับตาการเปลี่ยนเกมไล่ “ประยุทธ์” ทั้งนอกสภาฯ ในสภาฯ ที่คนแดนไกล ขยับเข้ามากำกับการแสดงทั้งฝ่ายค้าน-ฝ่ายแค้นด้วยตัวเอง
สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศที่ยอดผู้ติดเชื้อแตะหลัก 2 หมื่นต่อวัน ยังพุ่งขึ้นไม่หยุด หลายฝ่ายห่วงแนวโน้มการระบาดว่า ตราบใดที่ยังหยุดวงจรการระบาดให้น้อยลงไม่ได้ ศึกโควิดจะยิ่งยืดเยื้อยาวนาน กลายเป็นโดมิโน ล้มทั้งระบบสาธารณสุข เศรษฐกิจ สังคม และลามไปถึงการเมือง
เห็นได้ชัดเจนว่า ม็อบที่ถูกฟื้นขึ้นมาใหม่ ข้ามเขตความกลัวโรคระบาด ยอมเสี่ยงลงถนนออกมาไล่นายกฯ แม้ฝ่ายความมั่นคงจะใช้ยุทธวิธีที่เข้มข้นทุกรูปแบบ ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ วางแนวสกัดอย่างแน่นหนา
คลิปเสียงการประชุมออนไลน์ของตำรวจนครบาล กับตำรวจภูธรภาคต่างๆ เนื้อหาระบุถึงแนวทางการสกัดการชุมนุมในพื้นที่สำคัญ และย้ำถึงมาตรการทางกฎหมายที่จะไล่เอาผิดทุกข้อหาหนัก ทั้งมาตรา 112 หมิ่นสถาบัน และมาตรา 116 ล้มล้างการปกครอง ที่มีโทษหนัก ว่ากันว่าเป็นการจงใจปล่อยคลิปออกมาให้ ทั้งแกนนำ และผู้ร่วมชุมนุม แตะเบรก ระวังเหตุการณ์ความรุนแรงที่อาจควบคุมไม่ได้ จากกลุ่มต่างๆ ที่เข้าร่วม
เนื่องจาก “สันติวิธีเพดานสูงสุด” ที่ทนายอานนท์ นำภา ได้ประกาศแนวทางต่อสู้ไว้ล่วงหน้า ถูกตีความอย่างไม่น่าไว้ใจ
เมื่อถึงวัน ว. เวลา น. ยุทธวิธีนี้ ก็ได้ผลเฉพาะแกนนำ โดยเฉพาะแกนนำหลักที่ติดคดี และอยู่ระหว่างประกันตัว ส่วนใหญ่ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข WFH จึงไม่ปรากฎตัว ทั้ง “ทนายอานนท์ นำภา” ที่อ้างปัญหาสุขภาพ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ อ้างมีตำรวจอยู่หน้าบ้าน “ไมค์ ระยอง” ภาณุพงษ์ จาดนอก ขายทุเรียนทอดอยู่ระยอง “ไผ่ ดาวดิน” ไม่มีความเคลื่อนไหว “รุ้ง ปนัสยา” รอไปนำม็อบ 10 ส.ค.
กระทั่งสถานการณ์ม็อบบนถนน ถูกสลายการชุมนุมอย่างต่อเนื่องด้วยรถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา กระสุนยาง กระทั่งเกิดเหตุการณ์เผารถผู้ต้องขังของตำรวจ บริเวณใกล้แยกดินแดง ก่อนที่ แกนนำ WFH จะประกาศยุติชุมนุม “ม็อบ 7 สิงหา” ซึ่งต่อมามีคำชี้แจงจากเจ้าภาพว่า
“ทางเยาวชนปลดแอกขออภัยทุกท่านที่สื่อสารผิดพลาด จากโพสการเผารถตำรวจ ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าฝ่ายใดเป็นคนทำ โดยในตอนแรก มีรถตำรวจขับเข้ามาในพื้นที่ม็อบอย่างน่าสงสัย ไม่ทราบแน่ชัดว่ามีอาวุธสลายม็อบอยู่ในรถหรือไม่ เราจึงเข้าใจว่าการเผารถเป็นการป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปราบผู้ชุมนุม และเรามองว่าการเผาสิ่งที่นำมาปราบปรามประชาชน คือสันติวิธีอย่างหนึ่ง จึงได้โพสด้วยเจตนาปกป้องเส้นสันติวิธีนี้ เราขอน้อมรับทุกคำวิพากษ์วิจารณ์และจะนำข้อผิดพลาดไปปรับปรุงต่อไป”
หลังคำชี้แจงนี้ ได้เกิดกระแสความขัดแย้งระหว่างม็อบบนถนน กับม็อบ WFH อย่างหนัก ในโลกโซเชียล โดยมีความเห็นแตกเป็นสองฝ่าย และในเวลาไม่นานนักแฮชแท็ก #แบนfreeyouth ก็ติดอันดับ 1 เทรนด์ทวิตเตอร์
โดยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ถึงมวลชนที่ไปเสี่ยงบนถนน กับแกนนำที่ไม่ปรากฎตัวตน มีการตั้งคำถามถึงสถานการณ์ชุมนุมวนลูปมาเป็นปี ออกไปสู้แต่ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ จนมองไม่เห็นทางชนะ
ที่น่าสนใจคือพวกเขามีการวิเคราะห์ถึงสถานการณ์มวลชนที่ตัดสินใจเลิกไปม็อบ แต่เชียร์อยู่ที่บ้าน เพราะรู้สึกว่าม็อบขาดการพัฒนากลยุทธการต่อสู้ ที่จะเป็นอิมแพคต่อสังคม มีการประเมินจุดอ่อนของการชุมนุม ที่ระยะหลังมีการสื่อสารกับสังคมลดลง ทำให้ไม่เห็นยุทธศาสตร์หลักของการรวมตัว จนเสี่ยงถูกมองว่าเป็นตัวป่วน และยังมีการแลกเปลี่ยนข้อเสนอในการปรับกลยุทธ์ม็อบ
นี่จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่แกนนำ และผู้จัดม็อบอาจต้องกลับไปทบทวน เพื่อพัฒนาการต่อสู้ ทั้งยุทธศาสตร์ และรูปแบบ การปรับกระบวนเพื่อดึงมวลชนกลับมา พลังทั้งม็อบบ้าน และม็อบหน้างาน เพราะหากยังใช้วิธีเดิมๆ แต่หวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง ก็อาจสูญเสียแนวร่วมไปเรื่อยๆ
สอดคล้องกับทิศทางของนักการเมืองรุ่นใหม่ และรุ่นเก๋า ที่มองเกมออกว่า การรับมือม็อบด้วยวิธีปราบ คือคำตอบชัดว่า นายกฯประยุทธ์ ไม่มีทางลาออกตามแรงกดดัน
แกนนำคณะก้าวหน้า ทั้ง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล แม้จะแสดงท่าทีผ่านเฟซบุ๊ค วิจารณ์การสลายม็อบ แต่เบื้องลึกย่อมรู้ว่า วิธีปะทะ รุนแรงทำอะไรรัฐบาลนี้ไม่ได้
ไม่ต่างกับสัญญาณของอดีตนายกฯ ทางไกล “ โทนี่ วู้ดซัม” ทักษิณ ชินวัตร ที่คืนวันศุกร์ที่ 6 ส.ค.64 มาพบกับแฟนคลับ เป็นภาคพิเศษในคลับเฮาส์กลุ่มแคร์ โดยมีคำแนะนำต่อการชุมนุมของกลุ่มเยาวชน ที่อ่านอารมณ์ม็อบเด็กอย่างเข้าใจ และได้แตะเบรกเรื่องบุกไปชุมนุมหน้าวังอย่างตรงไปตรงมา เพื่อไม่ให้เข้าทางกับดัก ถูกดำเนินคดี
แม้อีกมุมหนึ่ง จะมีนัยการเมืองว่า เป็นการแสดงตัวว่า เขาไม่ได้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมครั้งนี้ เพราะก่อนหน้านี้ ก็ส่งสัญญาณให้สายตรงอย่าง เต้น “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เลขาฯ นปช.ถอยฉากจากม็อบครั้งนี้อย่างกระทันหัน
1 ปีที่ผ่านมา การไล่นายกฯ ประยุทธ์ ด้วยวิธีชุมนุมทุกรูปแบบ ด้วย “เกมสั้น” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ยังไม่ได้ผล นอกจากปล่อยให้สถานการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาลกำลังเผชิญปัญหา ที่ไม่สามารถบริหารจัดการได้ เป็นตัวฉุดกระแสขาลงรัฐบาลไปเรื่อยๆ โดยอดทนเล่น “เกมยาว” เพื่อชัยชนะในเกมเลือกตั้ง
สถานการณ์วนลูปที่เจ็บมายาวนาน แต่ไม่จบ จุดเปลี่ยนม็อบ 7 สิงหาฯ ครั้งนี้ ต้องจับตาการเปลี่ยนเกมไล่ “ประยุทธ์” ทั้งนอกสภาฯ ในสภาฯ ที่คนแดนไกล ขยับเข้ามากำกับการแสดงทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้น ด้วยตัวเอง