บช.น. แจงปูมหลัง "ผู้ก่อเหตุ" กราดยิงหนองบัวลำภู ล้อมคอกตรวจประวัติ ตร.-ปืน
"นครบาล" ชี้พฤติกรรม "ผู้ก่อเหตุ" กราดยิงหนองบัวลำภู เผยไล่ออก 7 ตำรวจเสพยา ล้อมคอกตรวจสอบประวัติและใบอนุญาตครอบครองปืน
ความคืบหน้า "นครบาล" เปิดเผยปูมหลังพฤติกรรม "ผู้ก่อเหตุ" กราดยิงหนองบัวลำภู เผยไล่ออก 7 ตำรวจเสพยา ล้อมคอกตรวจสอบประวัติและใบอนุญาตครอบครองปืน ย้ำเสียใจญาติผู้เสียชีวิตหนองบัวลำภู รับผู้ก่อเหตุสังกัดนครบาล พฤติกรรมเก็บตัว-ไม่สุงสิงเพื่อนร่วมงาน ย้ายกลับภูมิลำเนา “ไม่ถนัดใช้งานคอมพิวเตอร์” คาดเอี่ยวยาเสพติดช่วงทำงานสายสืบ
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น. ในฐานะ รองโฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงกรณีผู้ก่อเหตุโศกนาฎกรรมที่จ.หนองบัวลำภู ทำให้มีผู้เสียชีวิต รวม 37 ราย โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ที่ผ่านมา
พล.ต.ต.นิธิธร กล่าวว่า ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลโดย พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อญาติผู้เสียชีวิตเหตุโศกนาฏกรรมในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งจากการตรวจสอบผู้ก่อเหตุ
ปูมหลังผู้ก่อเหตุกราดยิงหนองบัวลำภู
- เคยรับราชการตำรวจในสังกัดนครบาลโดยปฏิบัติหน้าที่วันที่ 1 พ.ย. 56 ทำหน้าที่ ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สน.ยานนาวา
- ย้ายไปที่ สน.ลุมพินี ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายสืบสวน เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 60
- ย้ายกลับไปภูมิลำเนา ในตำแหน่ง ผบ.หมู่งาน ป. สภ.นาวัง วันที่ 10 ก.ค. 62
ขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ อยู่ในสังกัดนครบาล มีรายงานว่า ผู้ก่อเหตุมีพฤติกรรมเก็บตัวและไม่สุงสิงกับเพื่อนร่วมงาน และจากรายงานการขอย้ายกลับภูมิลำเนานั้น ระบุว่า ไม่ถนัดในการใช้งานคอมพิวเตอร์ และการปฏิบัติงานในภาพรวมไม่มีความโดดเด่น และพบว่ามีนิสัยชอบเล่นปืน
ส่วนประเด็นเกี่ยวกับยาเสพติด คาดว่าตัวผู้ก่อเหตุอาจจะเคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อนรับราชการตำรวจ และเมื่อมาปฏิบัติหน้าที่งานสืบสวน ซึ่งมีความใกล้ชิดกับยาเสพติด ทำให้กลับมาอยู่ในวงจรของยาเสพติดได้ ส่วนในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้มีงานเกี่ยวข้องในการเข้าถึงประชาชนแต่อย่างใด
แนวทางการป้องกันของกองบัญชาการตำรวจนครบาล
พล.ต.ต.นิธิธร กล่าวว่าตามปกติ จะมีการตรวจหาสารเสพติด ผู้ใต้บังคับบัญชา ในแต่ละโรงพัก ตามวงรอบ ของแต่ละโรงพักที่กำหนด ในลักษณะสุ่มตรวจ โดยสถิติตั้งแต่ปี พ.ศ 2563-2565 ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ ไล่ข้าราชการตำรวจในสังกัด บช.น. ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือ เสพยาเสพติดออกจากราชการจำนวนทั้งสิ้น 7 ราย
ล้อมคอกตรวจสอบประวัติและใบอนุญาตครอบครองปืน
ส่วนเรื่องของอาวุธปืน ของข้าราชการตำรวจนครบาลจะมีการนำเสนอผู้บังคับบัญชา เพื่อให้ตรวจสอบการครอบครอง รวมทั้งการเซ็นใบอนุญาตการครอบครองอาวุธปืน จะให้ทางผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด เป็นผู้ตรวจสอบประวัติของผู้ที่ขออนุญาตครอบครองทั้งหมด เป็นรายบุคคล ส่วนข้าราชการตำรวจที่ถูกไล่ออกจากราชการไปแล้วจะทำการยึดใบอนุญาต พร้อมทั้งทำประวัติเป็นบุคคลเฝ้าระวังอีกด้วย
สำหรับแนวทางป้องกัน หากเกิดเหตุลักษณะนี้ขึ้นในพื้นที่นครบาล ซึ่งเป็นพื้นที่แคบ มีตรอกซอกซอยเยอะ รวมถึงการจราจรที่หนาแน่น วิธีการใช้สายตรวจเคลื่อนที่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ 191 ในการเข้าระงับเหตุในพื้นที่เป็นชุดแรก จากนั้นจึงจะวางยุทธวิธีในการ ควบคุมสถานการณ์ เชื่อว่ากองบัญชาการตำรวจนครบาลสามารถควบคุมเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ 100 เปอร์เซ็นต์
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สร้างความสะเทือนใจให้กับประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยอมรับว่าผู้ก่อเหตุ เคยเป็น ข้าราชการตำรวจ และยังสังกัด ในกองบัญชาการตำรวจนครบาล รู้สึกเสียใจ ที่ผู้ก่อเหตุนำวิธีการปฏิบัติไปใช้ในทางที่ผิดจนเกิดความสูญเสียเช่นนี้ ทั้งนี้ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล จะมีมาตรการในการตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติด ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดทั้ง 88 โรงพักรวมถึง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างมาตรฐาน และขอให้มั่นใจ ใน ข้าราชการตำรวจที่จะออกไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง” พล.ต.ต.นิธิธร กล่าว