ใช้วิชาพร่าเหยื่อ | ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ
“มองว่าผู้ต้องหาเป็นนักจิตวิทยาตัวยง ใช้จิตวิทยาขั้นสูงคือทฤษฎี Gaslighting ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการควบคุมทางจิตใจและ ความสัมพันธ์ด้วยการปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ของความแคลงใจ ความสงสัยและความไม่เชื่อมั่นในตนเอง
คดีนี้เป็นคดีที่มีพฤติกรรมค่อนข้างประหลาด ตอนเข้าไปเจอเหยื่อ 5 ราย เป็นเด็ก 2 ราย และผู้ใหญ่ 3 ราย ผู้ใหญ่ทั้งหมดถูกโกนหัวและย้อมผมสีเขียว ใบหน้าถูกทำร้าย เมื่อถามว่าแผลเกิดจากอะไร เหยื่อทุกคนบอกเอาน้ำร้อนราดตัวเอง.....” (พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส. บชน.)
คดีนี้สอดรับกับสิ่งที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ก่อนหน้าไม่นานในเรื่อง Gaslighting (กรุงเทพธุรกิจ 20 กันยายน 2565 ระวังคำพูดจุดไฟในใจ และ facebook วรากรณ์ สามโกเศศ ) ว่าเป็นเครื่องมือเพื่อการละเมิดสิทธิส่วนตัวและการคดโกงต้มตุ๋น
และต่อมาได้พบข้อเขียนใน Reader’s Digest เดือนกรกฎาคม 2565 เรื่องสัญญาณเตือนของการประสบ Gaslighting จึงขอนำมาเล่าเพื่อป้องกันตนเองจากการตกเป็นเหยื่อของความสัมพันธ์
Gaslighting (การจุดก๊าซเพื่อแสงสว่าง) เป็นชื่อภาพยนตร์ในปี 1944 เกี่ยวกับชีวิตในอังกฤษยุคที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องอาศัยก๊าซในการให้แสงสว่าง เรื่องมีอยู่ว่าสามีมุ่งร้ายจะฮุบสมบัติของภรรยาจึงหลอกลวงโดยบอกภรรยาบ่อย ๆ ว่าเธอป่วยทางจิต
หลาย ๆ ครั้งที่สามีเร่งไฟให้ห้องสว่างขึ้น แต่กลับพูดว่า ห้องมืดกว่าเดิม และพูดซ้ำ ๆ จนภรรยาสงสัยในสิ่งที่ตนเองประสบและสุดท้ายเชื่อคล้อยตามไปว่าตนเองนั้น จิตฟั่นเฟือน
Gaslighting หรือ “การจุดไฟ” เกี่ยวพันกับการจงใจที่จะทำให้เหยื่อตกอยู่ใต้อำนาจและยอมทำตามที่เขาต้องการ
คำนี้ใช้กันกว้างขวางในปัจจุบัน (เคยได้รับรางวัลเป็นคำภาษาอังกฤษใหม่ แห่งปี 2016) จนกินความไปถึงการกระทำอย่างไม่จงใจด้วย อย่างไรก็ดีในที่นี้จะกล่าวถึงการใช้ “การจุดไฟ” อย่างจงใจเท่านั้น
ในการดำเนินชีวิต มนุษย์จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้คนหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก สามีภรรยา ญาติ เพื่อน เจ้านาย ฯลฯ และในจำนวนหลายคนที่คบหากันนี้ในช่วงเวลาที่ยาวไกล เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพบคนประสงค์ร้ายที่พยายามควบคุมให้เราอยู่ในอาณัติด้วยวิธีการของ Gaslighting เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของเขาหรือไม่
คุณสามารถหลีกหนีการตกเป็นเหยื่อของการละเมิดสิทธิส่วนตัว การถูกคดโกงและถูกต้มตุ๋นได้จาก “การจุดไฟ” ซึ่งมีลักษณะของการล้างสมองและการดำเนินการจัดการ (manipulation) อย่างแนบเนียนหากคุณเฝ้าสังเกตสิ่งต่อไปนี้จากความสัมพันธ์ที่คุณมี
(1) รู้สึกสงสัยในความน่าเชื่อถือของความจำของตนเอง คำพูดและการกระทำของ “ผู้จุดไฟ” สามารถทำให้คุณเกิดความคลางแคลงในความสามารถของตนเองขึ้นทุกที ต้องพึ่งพิงเขามากขึ้น จนรู้สึกไว้ใจและยอมให้เขาควบคุมมากขึ้นทีละน้อยอย่างไม่รู้สึกตัว
สิ่งที่เขาต้องการก็คือทำให้คุณเกิดความไม่แน่ใจในสิ่งที่คุณประสบว่าเป็นสิ่งจริงหรือไม่(เห็นว่าไฟสว่างขึ้น แต่เขาบอกว่ามันมืดลง)
(2) หากเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ฉันคู่รัก ผู้ประสงค์ร้ายมักเริ่มความสัมพันธ์อย่างเข้มข้น ให้ทั้งคำหวาน ความรัก สิ่งของและเงินทอง แลกกับข้อมูลส่วนตัวลึก ๆ จากนั้นกระบวน “การจุดไฟ” ก็เริ่มขึ้นด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ตัวคุณทีละน้อยเพื่อให้รู้สึกด้อยค่าจนต้องพึ่งพิงเขาแต่ผู้เดียว
หากคุณสงสัยว่าตนเองมีจิตใจที่ผิดปกติ รู้สึกเหมือนไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง รู้สึกว่าตนเองถูกตัดขาดจากโลกภายนอกนั่นคือสัญญาณของ Gaslighting
ผู้จุดไฟจะพยายามตัดขาดคุณจากเพื่อนและผู้รักใคร่ชอบพอที่อาจบอกว่าอะไรเป็นจริง และ ผู้ประสงค์ร้ายกำลังทำลายคุณ วิธีการอาจมาในรูปของการทำให้คุณรู้สึกผิดหรือไม่ชอบผู้คนจนหลีกเลี่ยงการพบปะคนอื่น สถานการณ์อาจเลวร้ายจนถึงการไม่ให้ใช้โทรศัพท์มือถือ หรืออินเตอร์เน็ตที่ทำให้สื่อสารกับคนอื่นได้
(3) เมื่อมีคนถามว่าชอบไอศครีมแบบไหนแล้วคุณรู้สึกว่าตอบไม่ได้จนกว่าจะสบตาเขา “ผู้จุดไฟ” หรือถามเขาก่อน นั่นคือสัญญาณน่ากลัวว่า Gaslighting กำลังได้ผล หากพบเห็นว่าใครมีอาการเช่นนี้ก็สามารถบอกได้เลยว่ากำลังตกเป็นเหยื่อ
(4) “ผู้จุดไฟ” พยายามทำให้คุณเป็นผู้รับผิดชอบความรู้สึกขัดแย้ง หรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นระหว่างสองคนเสมอ ไม่ว่าคุณทำดีแค่ไหนก็ไม่มีวันดีพอเพราะเขาต้องการให้คุณรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าจนต้องพึ่งพิงเขา ทั้งหมดเป็นไปอย่างช้า ๆ เพื่อการมีอำนาจเหนือคุณและควบคุมให้คุณอยู่ในกำมือ
(5) คุณรู้สึกสบายใจและผ่อนคลายขึ้นเมื่อเขาไม่อยู่ใกล้คุณ เพราะตลอดเวลาที่อยู่ใกล้กัน คุณต้องระวังทุกคำพูดและการกระทำเพื่อไม่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ
(6) กลยุทธ์ที่สำคัญของ “ผู้จุดไฟ” ก็คือการกล่าวหาคุณว่าเป็น “ผู้จุดไฟ” ทั้งนี้เพื่อทำให้คุณต้องวุ่นวายกับการหาคำแก้ตัว และเกิดความรู้สึกที่เลวร้ายจนไม่มีเวลามองเห็นกระบวน “การจุดไฟ” ที่เขากำลังกระทำอยู่
“ผู้จุดไฟ” ที่มีประสงค์ร้ายเหล่านี้กระทำด้วยความจงใจเพราะต้องการควบคุม และมีอำนาจเหนือคุณ และยากที่จะเลิกกระทำ
ดังนั้น หนทางที่ดีที่สุดในการหลีกหนี “การจุดไฟ” ก็คือการเดินออกจากความสัมพันธ์เด็ดขาดและอย่างรอบคอบชนิดที่เรียกว่า "บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น” เพราะอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้
ข้อแนะนำก็คือต้องตัดให้ขาดไปเลยโดยไม่ติดต่อด้วยอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนรัก เพื่อน ญาติ ฯลฯ เพราะพวก “จุดไฟ” จะพยายามตื้อให้กลับมาเสมอด้วยสารพัดสัญญาและของขวัญ
ข้อเขียนนี้อาจมองโลกในแง่ร้ายไปสักหน่อย แต่อย่าลืมว่าในโลกปัจจุบันผู้คนมีบุคลิกภาพที่ซับซ้อนอย่างยากที่จะหยั่งถึงมากขึ้น มีวิชาการให้เอามาใช้เป็นวิชามารได้สะดวกขึ้น ดังนั้นจึงควรระมัดระวังการตกเป็นเหยื่อของ Gaslighting และตระหนักเสมอว่าคนไม่ประสงค์ดีต่อคุณ ไม่สมควรได้รับความสัมพันธ์กันต่อไปอีกไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตาม
ความมีสติและการพยายามรู้เท่าทันคนอื่นเป็นคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้ของคนที่ต้องการ “อยู่ดี อยู่รอดและปลอดภัย” ในการดำเนินชีวิตปัจจุบัน.