อดีต สว."ครูยุ่น" รับทราบข้อหาค้ามนุษย์ - "แก้วสรร" โวยใช้อำนาจมิชอบ
อัปเดตคดีดัง อดีต สว."ครูยุ่น" รับทราบข้อหาค้ามนุษย์ - "แก้วสรร" โวยใช้อำนาจมิชอบ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 ธันวาคม 2565 ที่ สภ.อัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม นายมนตรี สินทวิชัย หรือ "ครูยุ่น" เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก จังหวัดสมุทรสงคราม เดินทางเข้าพบพันตำรวจโทปิยะชัย มั่นคง รองผู้กำกับสอบสวน สภ.อัมพวา เพื่อรับทราบข้อหาค้ามนุษย์เพิ่มเติม โดยมีนายแก้วสรร อติโพธิ ประธานมูลนิธิคุ้มครองเด็ก เเละนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ในฐานะทนายความครูยุ่น ร่วมเดินทางมาในครั้งนี้ด้วย
นายกฤษฎางค์ กล่าวว่า วันนี้มาตามหมายเรียกในคดีที่กล่าวหามูลนิธิ ทำร้ายร่างกายเด็กและใช้แรงงานเด็ก ผิด พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก และเพิ่มเติมใน พ.ร.บ.ค้ามนุษย์ ซึ่งตนมองว่าเป็นสิทธิของรัฐที่จะตั้งข้อหาอะไรกับใครก็ได้ เพราะในระบบกล่าวหาในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้สิทธิพนักงานสอบสวน โดยจริยธรรมต้องสอบสวนให้ทราบการกระทำความผิด เพราะพนักงานสอบสวนมีหน้าที่ที่จะสอบสวนถึงความผิดและความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา ซึ่งหากตั้งข้อหากล่าวหาเกินจากความเป็นจริง ก็มีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 200 ปกป้องคุ้มครอง แต่ก็รู้สึกเสียใจเพราะชื่อคดีค้ามนุษย์น่ากลัว ทำให้เหมือนกับ ครูยุ่น ที่เป็น สว.มาได้ก็เพราะค้ามนุษย์หรือเปล่า ซึ่งสังคมสงสัย เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนต้องช่วยกัน ถ้าจะให้คนศรัทธาในระบบกฎหมาย อย่างไรก็ตามเมื่อถูกกล่าวหาก็ต้องยอมรับเดินไปตามกระบวนการ สืบพยานโจทย์ พยานจำเลย โดยหาหลักฐานสู้กันไปในแต่ละศาลจนถึงศาลฎีกา
นายมนตรี "ครูยุ่น" กล่าวว่า ตนคาดไม่ถึงจะถูกกล่าวหา พ.ร.บ.ค้ามนุษย์ ซึ่งในชีวิตตนไม่เคยคิด เพราะทำงานเกี่ยวกับคน และถือมากเรื่องสิทธิของชาวบ้าน ซึ่งตนเสียใจมาก แต่อย่างไรก็ตามตนก็มีสิทธิที่จะต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง ที่ตนถูกกล่าวหายังไง แต่ตนก็ยังมีความหวังกับสังคมนี้ ว่าอยากเห็นอะไรที่มันดีงาม และเชื่อว่าทุกคนก็ทราบ และเห็น รถรับส่งนักเรียนไปโรงเรียนทุกวัน เด็กๆแต่งตัวไปโรงเรียน เด็กๆกระโดดเข้าวัด เข้าสวนได้อย่างอิสระ ตนเชื่อว่าหลายๆคนก็เห็น ตนจึงยืนยันได้ว่าเท่าที่ประชาชนเห็นสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่กักกันแน่นอน
นายมนตรี กล่าวว่า ถ้ากับงานตนอาจมีความรู้สึกเข็ด แต่งานที่เกี่ยวกับสังคมก็คงทำต่อไป ตนเดินมาตรงนี้ตลอดชีวิตตั้งแต่นุ่งกางเกงขาสั้นเดินสนามหลวง ผ่านมาแต่ละช่วงแต่ละวัยแต่ละชีวิตรู้สึกดีจนมาถึงวันนี้ และเมื่อตนเป็น สว.ตนใช้ประสบการณ์ทั้งชีวิตไปทำหน้าที่ ซึ่งไม่ต้องให้ตนบอกว่าตนทำหน้าที่อย่างใด ให้ไปตรวจสอบการทำงานของตนว่าตนเป็นอย่างไร ตนเคยขาดประชุมไหม ตนเคยลาไปไหนนานๆไหม ตนเคยใช้ตำแหน่งหน้าที่ตรงไหนให้เหนือชาวบ้าน
นายมนตรีกล่าวว่า ส่วนที่ถามว่าการถูกแจ้งข้อหาค้ามนุษย์เป็นการกลั่นแกล้งไหม ตนเรียนว่า เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่เขาต้องทำ แต่สังคมจะตัดสินอย่างไรว่าการตั้งข้อหาค้ามนุษย์ถูกต้องหรือไม่
นายแก้วสรร กล่าวว่า ตนเป็นประธานมูลนิธิมากว่า 10 ปี ซึ่งคนอย่างตนเห็นเด็กถูกบังคับ ขู่เข็น ผมคงเอาตาย คงไม่ยอม ที่ตนรักครูยุ่นเพราะครูยุ่นรักเด็ก ส่วนรีสอร์ทที่ถูกกล่าวหาว่านำเด็กไปใช้แรงงาน ตนเคยเข้าไปบ่อยครั้งก็เห็นเด็ก 2-3 คน มีความสุขดี เก็บใบไม้ เช็ดกระจก ยกจาน ได้ทิปก็ดีใจ ซึ่งจะมาเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ เพราะวันธรรมดาต้องเรียนหนังสือ ตนไม่เข้าใจว่าที่หาว่าบังคับเด็ก บังคับได้อย่างใด ดังนั้นพนักงานสอบสวนต้องว่าไปตามข้อเท็จจริง ซึ่งที่ผ่านมา ทำเหมือนว่าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาให้ครูยุ่นไปก่อนสู้และไปหลุดที่ศาล ทั้งที่หน้าที่หาความบริสุทธิ์อยู่ที่พนักงานสอบสวนด้วย การทำร้ายร่างกายกับการทำโทษมันคนละเรื่อง ขนาดครูตีเด็กยังไม่ติดคุก หากเกินกว่าเหตุก็โดนดำเนินการทางวินัย ตนมองว่าถ้าครูยุ่นจะผิดจริงๆก็คือผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กว่าลงโทษเกินสมควรหรือไม่ โทษแรงขนาดไหน ก็ว่ากันไปตามนั้น มากล่าวหาว่าทำร้ายร่างกายก็โอเวอร์เกินไป การแรงงานเด็กก็ไม่มีเหตุผล เด็กว่าเสาอาทิตย์ อยากมาช่วยงานเพื่อจะได้ทิป มีรายได้พิเศษ ไม่ให้มาเด็กขับรถจักรยานยนต์ตามมา ซึ่งตนเห็นกับตาคนอย่างตนไม่โกหก
นายแก้วสรร กล่าว กรณีที่ตนยื่นอุทธรณ์การเพิกถอนมูลนิธิ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีเวลา 60 วัน ในการพิจารณา ซึ่งตนมองว่าประเด็นไม่ยาก ข้อกฎหมายทั้งนั้น 2 วันก็สั่งได้แล้วก็ขอให้รีบๆสั่งมา หากไม่ถูกต้องตนก็ฟ้องศาล ส่วนประเด็นการเพิกถอนใบอนุญาติ อยู่ที่เขาตั้งต้นผิดกล่าวหาทำร้ายร่างกาย อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่สามารถเอาผิดได้ เนื่องจากเป็นการทำโทษ จึงหันมาหาเรื่องอื่นเพื่อออกคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตฯ เพราะรับเด็กอายุไม่ตรงกับใบอนุญาตฯ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบตามอำเภอใจของท่านที่เป็นการใช้อำนาจผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะถ้าบุคลากรสถานสงเคราะห์กระทำไม่ถูกต้องจะสั่งตักเตือนก็ได้ สั่งให้เปลี่ยนตัวพักหน้าที่ก็ได้ หรือถึงขนาดเข้าควบคุมบริหารแทนก็ได้ ทางเลือกที่กล่าวมาทั้งหมดถูกท่านละทิ้งไป ซึ่งทุกขั้นตอนเท่าที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่สุจริตไม่ตรงต่อวัตถุประสงค์ที่กฎหมายได้ให้อำนาจไว้ทั้งสิ้น
อย่างไรตามวัตถุประสงค์บ้านพักเด็กให้เพื่อให้พัฒนาและช่วยเหลือเด็ก และอีกอหลายอย่าง ดังนั้นในอนาคตอาจจะสงเคราะห์เด็กเล็กๆ ส่วนเด็กโตมีปัญหาใส่ร้ายกันแบบนี้ก็คงไม่เอา ก็ได้ ซึ่งตนขอปรึกษากันก่อน ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป