กอช. เดินหน้าดึงแรงงานนอกระบบ ออมเงินสร้างการเงินรับวัยเกษียณ
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เดินหน้าส่งเสริมดึงแรงงานนอกระบบ เข้าออมเงิน สร้างการเงินรับวัยเกษียณ ตั้งเป้าลงพื้นที่อีก 28 จังหวัด เพิ่มตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้านอีก 10,000 ราย
ประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) หรือมีสัดส่วนของประชากรสูงอายุมากกว่า 10% ของประชากรทั้งประเทศ ตั้งแต่ปี 2548 โดยปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรสูงอายุ 12.5 ล้านคน หรือคิดเป็น 19% ของประชากรทั้งประเทศ และจากอัตราการเกิดที่ลดลง ประกอบกับประชากรมีอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น โดยคาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ คือ มีสัดส่วนของประชากรสูงอายุมากกว่า 20% ในอีก 1 – 2 ปีข้างหน้า และจะเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด หรือมีประชากรสูงอายุมากกว่า 28% ในปี 2577
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงเรื่องนี้ในการประชุมมอบนโยบายบทบาทกองทุนการออมแห่งชาติ(กอช.) ในการส่งเสริมการออมภาคประชาชน ประจำปี 2566 ว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของไทยดังส่งผลให้มีประชากร ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงมากขึ้น ดังนั้น ประชาชนทุกคนจึงควรมีการเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะการออมเงินระยะยาวให้เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายตลอดช่วงวัยเกษียณโดยเฉพาะกลุ่มแรงงานนอกระบบประกันสังคม
ดังนั้นเพื่อส่งเสริมการออมและจูงใจให้แรงงานนอกระบบให้ออมเงินมากขึ้น คณะรัฐมนตรีได้ปรับเพิ่มเพดานเงินสะสมของสมาชิกจาก 13,200 บาทต่อปี เป็น 30,000 บาทต่อปี เพื่อให้สมาชิกส่งเงินออมได้มากขึ้น และปรับเพิ่มเพดานเงินสมทบของรัฐบาลจากเดิม 600 - 1,200 บาทต่อปีตามช่วงอายุของสมาชิก เป็น 1,800 บาทต่อปีทุกช่วงอายุของสมาชิก
ซึ่งจำนวนเงินสะสมและเงินสมทบที่สูงขึ้น จะทำให้สมาชิกมีเงินบำนาญเพิ่มขึ้นยกตัวอย่าง สมาชิก กอช. ที่เริ่มออมตั้งแต่อายุ 15 ปี และออมต่อเนื่องจนถึงอายุ 60 ปี จะมีโอกาสได้รับเงินบำนาญประมาณ 12,000 บาทต่อเดือน จากเดิม 5,300 ต่อเดือน
สำหรับ การดำเนินงานในปีนี้ กอช. มีแผนลงพื้นที่ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับกอช.เพิ่มเติมอีก 28 จังหวัด และ ตั้งเป้าหมายเพิ่มตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้านอีก 10,000 ราย พร้อมทั้งมอบรางวัลแก่จังหวัดที่ส่งเสริมวินัยการออมดีเด่น เพื่อสร้างแรงจูงใจอีกด้วย
โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา มีจำนวนสมาชิก กอช. เพิ่มขึ้นเป็น 2.5 ล้านคน จาก 4 แสนคนในปี 2558 และเงินกองทุนเพิ่มขึ้น จาก 1,155 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2558 เป็น 11,669 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2565