นพ.สาธารณสุขนครราชสีมา ชี้ปลด รอง นพ.สสจ. ไม่ได้ ปมอบรมทิพย์ฉาว
งานเข้า สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ชี้ปลด-สั่งหยุดทำหน้าที่ รอง นพ.สสจ. ไม่ได้ ปมอบรมทิพย์ฉาวในขณะนี้ พบเงินหมุนเวียน 50 ล้านบาท
ความคืบหน้า ปปง. และ ปปท. บุกยึดทรัพย์สินของรองนายแพทย์ สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา หลังตรวจพบจักอบรมทิพย์มีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 50 ล้านบาท สาธารณสุข จว. ยันปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมายหากพบผิดจริงก็ต้องถูกดำเนินคดีอาญาและวินัยราชการ
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีเมื่อช่วงเช้าวันที่ 15 มี.ค. 2566 เจ้าหน้าที่งานปราบปรามการทุจริตหลายหน่วยงาน อาทิ ปปง., ปปช. ปปท., ปปป., และ สอตช. เป็นต้น ได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักของ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา และบ้านที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ อ.เมืองนครราชสีมา รวม 4 จุด
พร้อมกับยึดอายัดทรัพย์สินมีค่าหลายรายการไว้ รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท และพบมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 50 ล้านบาท ภายหลังจากเจ้าหน้าที่มีข้อมูลว่า ในช่วงปี 62 นายแพทย์คนดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการจัดอบรมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขตำบล และอำเภอ ในพื้นที่ 32 อำเภอของ จ.นครราชสีมา โดยเป็นลักษณะจัดอบรมทิพย์ มีแต่เอกสารโครงการ และการเบิกเงิน แต่ไม่มีการจัดอบรมจริง ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด วันนี้ (16 มีนาคม 2566) นายแพทย์สุผล ตติยนันทพร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยถึงกรณีนี้ว่า ในส่วนของตนเองที่เป็นผู้บังคับบัญชาของรองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่งานปราบปราบการทุจริตอย่างเต็มที่
เนื่องจากการปราบปราบการทุจริตถือว่าเป็นภารกิจที่หน่วยงานราชการทุกแห่ง ต้องถือเป็นเรื่องสำคัญ แต่ทั้งนี้ก็ต้องอยู่ภายใต้กรอบของข้อกฎหมาย ซึ่งกรณีของนายแพทย์คนดังกล่าว ถือว่าเป็นผู้ถูกสงสัยเท่านั้น ยังไม่ถือว่าเป็นผู้ต้องหา ดังนั้นจึงยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
ตามระเบียบยังไม่สามารถปลดออกจากตำแหน่งหรือสั่งการให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่หลังจากนี้ก็ต้องหาหลักฐานต่างๆ มาพิสูจน์ต่อ ปปง.ว่าเส้นทางการเงินทั้งหมด ได้มาโดยสุจริตจริงหรือไม่
โดยมีกรอบระยะเวลาในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ภายใน 30 วัน ซึ่งตนมั่นใจว่าความจริงก็จะมีอยู่แค่หนึ่งเดียวเท่านั้น ถ้ารองนายแพทย์ สสจ. มีหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ ก็ต้องให้ความเป็นธรรมว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และปฏิบัติหน้าที่ต่อไป แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด ทั้งคดีอาญาและความผิดทางวินัยร้ายแรง ซึ่งตนเองจะไม่ออกมาปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาที่กระทำผิดกฎหมายแน่นอน