รองเลขาฯปปง. ยันทนาย-แฟน ผกก.โจ้ ขอให้ช่วยขายรถเอาเงินไปสู้คดี
พล.ต.ต.เอกรัตน์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาฯ ปปง. แจง ทนาย-แฟน ผกก.โจ้ หอบเอกสารมาให้ช่วยขายรถเอาเงินไปสู้คดี ควักเงินส่วนตัวจ่ายซื้อรถคืน หลังมีคำสั่งจาก ป.ป.ช. ให้อายัด ส่วนตัวน้องสาว ผกก. รับรู้ปัญหามาโดยตลอด ขณะที่ “อัจฉริยะ” อ้างภรรยาพัวพันเว็บพนัน ยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
จากกรณีที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ยื่นหลักฐานให้ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตรวจสอบขบวนการลักรถยนต์ของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ อดีต ผู้กำกับการ สภ.เมืองนครสวรรค์ โดยมีการอ้างถึง พล.ต.ต.เอกรัตน์ ลิ้มสังกาศ รอง เลขาธิการ ป.ป.ง. และลูกชายร่วมกันปลอมแปลงเอกสาร เพื่อลักรถยนต์ของ ผกก.โจ้ จำนวน 13 คัน นั้น
ล่าสุด พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. ชี้แจงในเรื่องดังกล่าวว่า ทางทนายความ และ แฟนสาวของ ผกก.โจ้ ได้นำเอกสารมา และบอกว่า ให้ช่วยขายรถให้ เพื่อนำเงินไปใช้ในเรื่องของคดี ตนก็ช่วยเหลือขายรถให้บางส่วน แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นรถที่ติดไฟแนนซ์ ค้างค่างวด 3 งวดแล้ว หมดสัญญา จึงได้ส่งรถคืนให้ไฟแนนซ์
ส่วนกรณีเรื่องการปลอมแปลงเอกสารนั้น ตนไม่ทราบ เพราะอีกฝ่ายเป็นทนายความ และ แฟนสาวของ ผกก.โจ้ นำเอกสารมาให้ ตนก็เชื่อว่าเป็นเอกสารที่ถูกต้อง และดำเนินการตามที่อีกฝ่ายร้องขอ
ทั้งนี้ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ชี้แจงว่า ในเรื่องการคืนรถให้ทาง ผกก.โจ้นั้น เมื่อรถถูกขายไปแล้ว แต่เมื่อมีคำสั่งจาก ป.ป.ช. ให้อายัด ก็ได้ใช้เงินส่วนตัวในการจ่ายคืนให้ผู้ซื้อรถคันนั้นไป จากนั้นเมื่อได้รถกลับมาก็นำไปคืนให้ ซึ่งลูกชายก็ติดต่อกับฝ่าย ผกก.โจ้ ให้มารับรถ ซึ่งก็ได้มีการส่งคนมารับรถไปแล้ว 1-2 คัน
โดยที่ผ่านมา ก็มีการประสานกับน้องสาวของ ผกก.โจ้ มาโดยตลอด เพื่อแจ้งให้ทราบว่ารถแต่ละคันมีปัญหาอะไรบ้าง ซึ่งอีกฝ่ายก็ทราบมาตลอดอยู่แล้ว ดังนั้นรถที่ทาง ป.ป.ช. และ ศาล มีคำสั่งให้ยึดไว้ จึงได้เอาเงินไปจ่าย และนำรถกลับมา หลังจากนี้ต้องรอคำสั่งศาลอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่ในกรณีที่รถคันนั้นติดไฟแนนซ์ และหมดสัญญา ซึ่งตนได้ส่งคืนไปให้กับทางไฟแนนซ์แล้วนั้น จะอย่างไรตนก็ไม่ทราบ
พล.ต.ต.เอกรักษ์ ชี้แจงอีกว่า ในกรณีที่ นายอัจฉริยะ อ้างถึงภรรยาตนว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ ตนยืนยันว่าภรรยาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด พร้อมให้ตรวจสอบได้ รวมถึงหลังจากนี้ได้ให้ทนายความรวบรวมพยานหลักฐาน และดูข้อกฎหมายว่าจะดำเนินคดีได้อย่างไรบ้าง เป็นการปกป้องสิทธิตามกฎหมาย