ไล่ล่า ด.ต.ปืนโหด 6 ศพ ปูพรมค้นแหล่งกบดาน ชี้ปมสังหารพ่อตา-เมีย-ลูก
"บิ๊กโจ๊ก" สั่งไล่ล่า ด.ต.ปืนโหด 6 ศพ ปูพรมค้นแหล่งกบดาน กำชับจนท.ระวังเหตุผู้ต้องหามีปืนติดตัว 3 กระบอก ชี้ปมสังหารพ่อตา-เมีย-ลูก
ปูพรมไล่ล่า “ด.ต.” ฆ่าสังหารโหด 6 ศพ คาดยังกบดานในพื้นที่ รู้จุดแล้ว สั่งกำชับจนท.ระวังเหตุผู้ต้องหามีปืนติดตัว 3 กระบอก หากขัดขืนให้ปฏิบัติตามกระบวนการ เผยปมเรื่องครอบครัว ถูกกีดกัน ดูถูกเหยียดหยามมานาน ไม่ให้คบหาฝ่ายหญิง จนบานปลาย พร้อมตำหนิ ผกก.สภ.คีรีรัฐนิคม ไม่รับทำคดีจุดเริ่มต้น ธ.ค.65 หากแก้ไขคู่ขัดแย้ง อาจไม่เกิดเหตุร้าย
กรณี ด.ต.อรรถพร วิเชียร อายุ 46 ปี ผบ.หมู่ งานป้องกันปราบปราม สภ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมพวกรวม 4 คน ใช้อาวุธปืนสงครามเอ็ม 16 และอาวุธปืนลูกซอง ยิงถล่มบ้านพักในสวนปาล์ม เลขที่ 91 หมู่ที่ 8 ต.กะเปา อ.คีรีรัฐนิคม และมีการยิงต่อสู้กัน มีผู้เสียชีวิตรวม 4 ศพ มี นายธรรมรงค์ นิลนิยม หรือผู้ใหญ่รงค์ อายุ 60 ปี เจ้าของบ้าน อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ต.บางงอน อ.พุนพิน นางนิลทิพย์ ปาลคะเชนทร์ หรือแตง อายุ 49 ปี ภรรยา นายพรศักดิ์ เพชรชู หรือผู้ใหญ่เกราะ อายุ 56 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 ต.ท่าขนอน ญาตินางนิลทิพย์ และ นายธรรมรัตน์ วิเชียร อายุ 48 ปี พี่ชาย ด.ต.อรรถพร เหตุเกิดเมื่อเย็นวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา
ล่าสุดทางด้าน "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าว่า ได้ระดมชุดสืบสวนปิดเมืองล่าตัวดาบตำรวจอรรถพร วิเชียร อายุ 46 ปีแล้ว ซึ่งเหลือตัวผู้ต้องหาเพียงคนเดียว เบื้องต้นมีข้อมูลว่าเจ้าตัวน่าจะยังหลบหนีอยู่ในพื้นที่ และพอทราบจุดแล้ว
“ยังไม่ได้มีการติดต่อขอเข้าเจรจาหรือมีผู้ให้ความช่วยเหลือในการหลบหนีแต่อย่างใด คาดว่าจะมีความคืบหน้าในเร็วๆ นี้ และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ใช้ความระมัดระวังในการปฎิบัติการเนื่องจากผู้ต้องหามีอาวุธปืนอยู่กับตัว 3 กระบอก เป็นอาวุธปืนสงคราม 1 กระบอก และปืนธรรมดา 2 กระบอก ซึ่งหากมีการขัดขืนต่อสู้ ให้ปฎิบัติหน้าที่ตามกระบวนการของกฎหมาย”
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2565 ซึ่งตอนนั้นเกิดเหตุใช้อาวุธสงครามยิงผู้ใหญ่บ้าน แต่ไม่มีการรับทำคดี และยังปล่อยให้มีเหตุบานปลายมาจนกระทั่งล่าสุดตาย 6 ศพ ซึ่งถ้าหากมีการดำเนินการแก้ไขปัญหาคู่ขัดแย้งก่อนหน้านี้ ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญขึ้น โดยเรื่องนี้ถือเป็นความบกพร่องของ พ.ต.อ.เกรียงไกร เกตุแก้ว ผกก.สภ.คีรีรัฐนิคม จึงได้นำเรียนถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและให้ พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ให้พิจารณาทัณฑ์ สั่งย้ายไปช่วยราชการที่ศปก.ภ.8 และตั้งคณะกรรมการสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งแรก
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ส่วนพฤติการณ์ของดาบตำรวจอรรถพร ได้ก่อเหตุยิงภรรยาของตัวเองเสียชีวิตที่รีสอร์ตก่อน สืบเนื่องจากผลของทางนิติวิทยาศาสตร์ ก่อนจะบุกไปที่บ้านของพ่อตา หรือ นายธรรมรงค์ นิลนิยม หรือ “ผู้ใหญ่รงค์” อายุ 60 ปี
จากนั้นได้เข้าไปในบ้าน โดยตัวนายธรรมรัตน์ วิเชียร อายุ 48 ปี พี่ชายของดาบตำรวจอรรถพร ได้เข้าไปในบ้าน ก่อนถูกนายธรรมรงค์ ยิงทันที เสียชีวิตคาบ้าน
หลังจากนั้นนายมานพ ว่างงาน อายุ 57 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนของดาบตำรวจอรรถพร และเคยติดคุกมา 14 ปี ที่ดาบตำรวจอรรถพรได้ชวนกันมาก่อเหตุ โดยทั้งคู่เป็นคนยิงถล่มทั้งบ้าน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตที่บ้าน 3 ศพ รวมนายธรรมรัตน์จะเป็น 4 ศพ
จากการสืบสวนต่อมาในที่เกิดเหตุจะพบว่ามีบุคคลคนหนึ่ง ไม่ยอมลงรถ โดยจากการพิสูจน์ทราบ ก็คือ นายอรรถพล วิเชียร อายุ 25 ปี เป็นลูกชายของดาบตำรวจอรรถพร ซึ่งหลังจากก่อเหตุเสร็จแล้ว ตัวของดาบตำรวจอรรถพร ก็ได้ขับรถไปส่งนายมานพที่บ้าน
จากนั้นได้ขับรถต่อไปกับลูกชาย โดยข้อมูลการสอบสวนสืบสวนจากร่องรอยถูกยิงจากดาบตำรวจอรรถพรที่ยิงลูกชายตัวเองในระยะเผาขนบนรถ สาเหตุคาดว่าน่ามาจากการที่ชวนกันหลบหนี แต่ลูกชายบอกว่า “ไม่ต้องหนี” เพราะในส่วนของลูกชายน่าจะรอดอยู่แล้ว
เนื่องจากอยู่เฉพาะบนรถและกล้องวงจรปิดจับภาพไม่ได้ เพราะไม่ได้ลงจากรถ จึงสันนิษฐานได้ว่าดาบตำรวจอรรถพร น่าจะเกิดอาการคลุ้มคลั่งแล้ว จึงก่อเหตุยิงลูกชายตัวเอง หลังจากก่อเหตุเสร็จแล้ว ได้โทรศัพท์ไปหาพี่ชายที่บวชเป็นพระ พร้อมบอกให้พี่ชายช่วยมาจัดการงานศพของลูกชายให้ด้วย
โดยได้นำศพของลูกชายตัวเองไปไว้ที่วัด ซึ่งเป็นวัดที่จัดงานศพของนายธรรมรัตน์ พี่ชายของตัวเอง
ส่วนนายมานพเมื่อวานนี้ ตำรวจสามารถจับกุมตัวได้แล้ว เบื้องต้นได้ให้การรับสารภาพทั้งหมด
“พวกนี้ถือว่าเป็นคนที่มีความชำนาญและเชี่ยวชาญมาก เพราะติดคุกมายาวนาน ประกอบกับจากการตรวจสอบและดูวิถีการยิงของนายมานพ พบว่า ยิงทุกนัด เก็บปลอกกระสุนทุกปลอก ถือว่ามีความละเอียดอย่างมาก โดยวันนี้จะมีการประชุมในเรื่องของการสืบสวน ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้กำชับเรื่องของคู่ขัดแย้ง สิ่งสำคัญหลังจากนี้ที่จะต้องทำต่อ คือ เรื่องปืน ที่กำลังตรวจสอบอยู่ว่าเป็นปืนเถื่อนหรือเป็นของทางราชการ โดยถ้าหากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นปืนของทางราชการและพบว่าเป็นของโรงพักไหน ผู้กำกับการสถานีนั้นต้องรับผิดชอบ”
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สาเหตุในครั้งนี้ มาจากปัญหาครอบครัว และมีความใจร้อน ตั้งใจจะมาฆ่า รวมถึงเรื่องสำคัญของการดูถูกเหยียดหยามมายาวนาน เนื่องจากพ่อตาไม่อยากให้ลูกสาวมาแต่งงานกับดาบตำรวจอรรถพร จึงเกิดการไม่ยอมรับกัน จนนำมาสู่เหตุบานปลาย
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอีกว่า ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ในเดือนธันวาคม 2565 นายธรรมรงค์ ไม่ได้มีศัตรูหรือขัดแย้งกับใคร นอกจากตัวดาบตำรวจอรรถพร เขาจึงได้ระวังตัวเองมาโดยตลอด และติดกล้องวงจรปิดที่บ้าน แต่ด้วยความที่โรงพักไม่ได้ทำการสืบสวนสอบสวนและทำคดีต่อตั้งแต่แรก ทำให้ไม่มีข้อมูลว่าผู้ก่อเหตุในครั้งแรกเป็นชุดเดียวกับที่ก่อเหตุในครั้งนี้หรือไม่ ประกอบกับช่วงนั้นเมื่อไม่มีการรับทำคดี จึงไม่มีคดีให้ได้ตรวจสอบ