สั่งโอนสำนวนคดี 'แอม ไซยาไนด์' ทั้งหมดให้ 'กองปราบ' รับผิดชอบ
ผบ.ตร. เตรียมสั่งโอนสำนวนคดี “แอม ไซยาไนด์” ทั้งหมดให้ "กองปราบ" รับผิดชอบ เพื่อสำนวนรัดกุม และเป็นเอกภาพมากขึ้น
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยว่าวันนี้ได้มีการเรียกประชุมคณะทำงานคลี่คลายคดี แอม ไซยาไนด์ ทั้งหมดในทุกพื้นที่เกิดเหตุ ทั้งจากตำรวจนครบาล ตำรวจภูธรภาค 4 ตำรวจภูธรภาค 7 กองปราบปราม เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และแพทย์นิติเวช รพ.ตร. โดยก่อนเที่ยงวันนี้จะให้คณะทำงานแต่ละชุดนำข้อมูลมารายงานตรงเพื่อรับทราบข้อมูลทั้งหมด ก่อนเริ่มการประชุมในช่วง 13.30 น.
“ประชุมวันนี้ จะเป็นการรวมคดีในทุกท้องที่ เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและสำนวนมีความแน่นหนา เนื่องจากผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธและขอต่อสู้คดี โดยผมจะนั่งเป็นประธานการประชุมด้วยตัวเอง และมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล , รอง ผบช.น. ผู้รับผิดชอบคดีในภาพรวมเข้าร่วมการประชุมด้วย”
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ในวันนี้จะมีคำสั่งให้รวมสำนวนคดีทุกพื้นที่ไว้ที่กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการสอบสวนกลาง โดยมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนโดยตำแหน่ง เนื่องจากกองปราบ อยู่ในเขตอำนาจสอบสวนของศาลอาญา จะทำให้การทำสำนวนมีความรัดกุมและเป็นเอกภาพยิ่งขึ้น ส่วนการออกหมายจับคนใกล้ชิดของ น.ส.แอม ที่เป็นตำรวจนั้น ยืนยันว่าจะมีความชัดเจนในการแถลงข่าวช่วงบ่ายวันนี้
มีรายงานอีกว่า จากการสอบปากคำตำรวจอดีตสามีของผู้ต้องหาสองครั้ง ให้การยืนยันว่าเข้าใจผิดคิดว่าลูกในท้องของแอมเป็นลูกที่เกิดจากตน ไม่คิดว่าอดีตภรรยาจะสวมเขาให้ และจากแนวทางการสืบสวนจะพบว่า ทั้งคู่นอนแยกเตียงและหย่ากันแล้วตามนิตินัย แต่อยู่บ้านเดียวกันเพื่อดูแลลูก
รายงานข่าวระบุอีกว่า คดีของ น.ส.มณฑาทิพย์ ซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ในปี 2558 นั้น มีความเป็นไปได้ยากที่สุดในการตั้งข้อกล่าวหากับ น.ส.แอม เนื่องจากเป็นเพียงคดีชันสูตร แพทย์ไม่ได้ตรวจสารพิษ ทั้งยังไม่มีหลักฐานใด แม้กระทั่งภาพถ่าย ขณะที่แพทย์เฉพาะทาง 2 รายที่ทำหน้าที่ชันสูตรพลิกศพนั้น รายหนึ่งได้เกษียณอายุราชการไปแล้ว ส่วนอีกรายหนึ่งได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ ยังไม่สามารถติดต่อได้