บุกช่วยนักศึกษา ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกจับตัว ขู่แม่เหยื่อรีดค่าไถ่ 2 ล้าน
แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้วิธีหลอกแบบใหม่ PCT 1 บุกช่วยนักศึกษาสาว ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกจับตัว ขู่แม่เหยื่อรีดค่าไถ่ 2 ล้านบาท
แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้วิธีหลอกแบบใหม่อ้างตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่แจ้งผู้เสียหายว่า พบสมุดบัญชีในกล่องพัสดุที่ถูกอายัด มีความเกี่ยวข้อง และพัวพันกับขบวนการฟอกเงิน กำลังทำการสืบสวนเป็นคดีลับ ให้ผู้เสียหายไปเปิดห้องพักเก็บตัวอยู่คนเดียว และห้ามติดต่อกับบุคคลอื่นเพื่อความปลอดภัย และคอยสั่งการควบคุมโดยวีดิโอคอลคุยกับผู้เสียหายตลอดเวลา ให้ผู้เสียหายทำตามคำสั่งไม่เช่นนั้นจะถูกดำเนินคดี และออกอุบายให้ผู้เสียหายถ่ายคลิปวีดิโอตนเองที่มีลักษณะเหมือนโดนเรียกค่าไถ่ ซึ่งคนร้ายอีกทีมคอยติดต่อกับแม่ของผู้เสียหายหลอกว่าผู้เสียหายถูกจับเรียกค่าไถ่ โดยให้แม่ของผู้เสียหายโอนเงินมาเพื่อให้ผู้เสียหายปลอดภัย ยอดเงินจำนวน 2 ล้านบาท พบว่าคนร้ายทั้งหมดสั่งการอยู่ ณ ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาร์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ส.ค.66 ภายใต้อำนวยการของ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม./หัวหน้า ศปอส.ตร.ชป.1, พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. สั่งการให้ จนท.ชป.1 ศปอส.ตร. นำโดย พ.ต.ต.ภูริศ คำหมื่น สว.กก.2 บก.สส.สตม. , ว่าที่ พ.ต.ต.โกเมน วรรณบวร สว.(สอบสวน) กก.สส.บก.ตม.4 , ร.ต.อ. ณัฐพงษ์ มาเม่น นว.(สบ 1) ผบก.สอท.3 , ร.ต.อ.รณกฤต เกษสังข์ รอง สว.ตม.จว.กาญจนบุรี ,ร.ต.ท.นันทวัฒน์ สนแจ้ง รอง สว.กก.3 บก.สส.สตม. , จ.ส.ต.กีรติ ติ๊บเตปิน ผบ.หมู่ ฝ่าย ตม.ขาออก ด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ บก.ตม.2 ,จ.ส.ต.จิรวัฒน์ ภูกิ่งเดือน ผบ.หมู่ กก.สส.บก.ตม.4
ดำเนินการติดตามหาตัวผู้เสียหายโดยเน้นความปลอดภัยของผู้เสียหาย และให้ดำเนินการสืบสวนจับกุมกลุ่มคนร้ายโดยเร็ว
พฤติการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมื่อวันที่ 7 ส.ค.66 เวลาประมาณ 9.00 น. คนร้าย แก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรหาผู้เสียหาย นางสาว ก. นามสมมติ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยชื่อดัง กรุงเทพฯ อ้างว่าเป็น เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไทย สาขาสงขลา แจ้งว่า พบสมุดบัญชีของผู้เสียหายในกล่องพัสดุที่ถูกอายัด เนื่องจากพัสดุดังกล่าวมีความเกี่ยวพันกับขบวนการฟอกเงิน โดยแจ้งว่าภายในกล่องพัสดุมีพาสปอร์ตของชาวเมียนมาร์ 12 เล่ม ,บัตร ATM 9 ใบ ,สมุดบัญชี 8 เล่ม และมีสมุดบัญชี 1 เล่มปรากฏชื่อของผู้เสียหาย ต่อมาคนร้ายจึงได้หลอกถามเลขบัญชีธนาคารของผู้เสียหายว่าตรงกับสมุดบัญชีในกล่องพัสดุดังกล่าวหรือไม่ และได้แนะนำให้ผู้เสียหายแจ้งตำรวจ สภ.เมืองสงขลา โดยทางคนร้ายที่อ้างตัวเป็นไปรษณีย์ไทยจึงอาสาประสานติดต่อตำรวจให้เพื่อแจ้งความ
ต่อมา คนร้ายได้โอนสายไปยังคนร้ายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสงขลา และได้สอบถามกับผู้เสียหายว่า ช่วงนี้มียอดเงินแปลกๆเข้ามายังบัญชีของผู้เสียหายไหม ผู้เสียหายจึงตรวจสอบบัญชีดูพบว่า มียอดการโอนเงินเข้ามาในบัญชีของผู้เสียหายจริงประมาณ 13,000 บาท ตอนเวลาประมาณ 2.00 น. ของวันที่ 7 ส.ค.66 จึงได้แจ้งกับคนร้ายว่า มียอดเงินแปลกๆ โอนเข้ามาจริง
ทางคนร้ายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงแจ้งว่าผู้เสียหายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฟอกเงิน และคนร้ายได้แจ้งผู้เสียหายให้ติดต่อกันโดยผ่าน LINE โดยใช้ชื่อ สภ.เมืองสงขลา เพื่อวีดิโอคอล โดยคนร้ายได้อ้างเป็น ผกก.สภ.เมืองสงขลา และแต่งกายในชุดเครื่องแบบตำรวจ และได้ส่งเอกสารราชการปลอมซึ่งระบุชื่อ และเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียหาย โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน เพื่อที่จะให้ผู้เสียโอนเงินเข้าบัญชีคนร้ายเพื่อตรวจสอบ ผู้เสียหายจึงได้โอนเงินทั้งหมดในบัญชีรวมถึงยอด 13,000 บาท ไปให้กับคนร้าย
ทางคนร้ายได้แจ้งกับผู้เสียหายว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำการสืบสวนคดีนี้ซึ่งเป็นคดีลับ จึงขอให้เก็บเป็นความลับและห้ามไม่ให้ผู้อื่นทราบ และได้สอบถามว่าตัวผู้เสียหายอยู่ที่ไหน ผู้เสียหายแจ้งว่าอยู่ที่หอบริเวณมหาลัย จึงขอให้ผู้เสียหายไปเก็บตัวอยู่คนเดียวและให้ปิดการแจ้งเตือนภายในโทรศัพท์ทั้งหมด และให้ย้ายสถานที่ไปโรงแรมใกล้มหาลัย แต่เนื่องจากบริเวณมหาลัยไม่มีโรงแรม ทางคนร้ายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงให้ผู้เสียหายไปยังฟิวเจอร์พาร์ครังสิต และให้ไปเปิดซิมโทรศัพท์ใหม่
คนร้ายจึงได้แนะนำให้ไปเช่าห้องพักแถวรังสิตต.คูคต อ.ลำลูกกา จว.ปทุมธานี โดยแจ้งกับผู้เสียหายว่าบริเวณรีสอร์ทดังกล่าว มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา โดยเมื่อถึงที่พักคนร้ายให้ผู้เสียหายเปลี่ยนซิมโทรศัพท์ เพื่อที่จะไม่ให้มีผู้ใดสามารถติดต่อผู้เสียหายได้ และได้แจ้งให้ผู้เสียหายสมัคร LINE ใหม่ผ่าน IPAD และให้ผู้เสียหายแอด LINE ชื่อ “หน่วยงาน ปปง.พิเศษ” และได้วีดิโอคอลกับคนร้ายที่อ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงาน ปปง.พิเศษ ซึ่งต่อมาได้แจ้งให้ผู้เสียหายลบแอปพลิเคชั่นที่สามารถติดต่อกับผู้อื่นทั้งภายในโทรศัพท์มือถือและ IPAD อย่าง LINE ,Facebook ,Instragram และ Messenger
โดยให้เหลือไว้เฉพาะแอพพลิเคชั่น LINE ใน IPAD ไว้แอพเดียว และให้เปิดวีดิโอคอล LINE ใน IPAD คุยกับคนร้ายที่อ้างเป็นหน่วยงาน ปปง.พิเศษ ตลอดเวลา ซึ่งคนร้ายได้คอยเฝ้าดูและควบคุมการกระทำทุกอย่างของผู้เสียหายผ่านวีดิโอคอล และได้หลอกส่ง QR CODE LOGIN LINE มาให้ผู้เสียหายสแกนเพื่อเข้า LINE อันเดิมของผู้เสียหาย ทำให้คนร้ายสามารถควบคุม LINE อันเดิมของผู้เสียหายได้สำเร็จ
ซึ่งระหว่างที่อยู่ภายในห้องพัก คนร้ายได้สอบถามว่าที่บ้านประกอบธุรกิจอะไร ผู้เสียหายได้บอกข้อมูล ชื่อ สกุล เบอร์โทรของพ่อ แม่ ต่อมาคนร้ายได้แจ้งกับผู้เสียหายว่าในคดีนี้ จำเป็นต้องใช้หลักทรัพย์ในการประกันประมาณ 200,000 บาท จึงถามผู้เสียหายว่าจะขอยืมเงินจากใครได้บ้าง และให้ผู้เสียหายทดลองขอยืมเงินโดยให้ผู้เสียหายโทรหาเพื่อน และแม่ของผู้เสียหายเพื่อขอยืมเงิน ซึ่งระหว่างที่โทรไปหาแม่และเพื่อนของผู้เสียหาย คนร้ายได้เฝ้าดูผู้เสียหายผ่านวีดิโอคอลขณะผู้เสียหายกำลังคุยโทรศัพท์ตลอดเวลา
คนร้ายจึงได้ออกอุบายที่จะช่วยเกี่ยวกับหลักทรัพย์ในการประกันให้กับผู้เสียหายโดยบอกให้ผู้เสียหายทำตามไปซื้อเทปกาว และกรรไกร เพื่อนำมาถ่ายคลิปโดยมัดมือมัดเท้าตนเองส่งให้กับคนร้าย โดยแจ้งว่าคลิปดังกล่าวจะเป็นความลับ ไม่มีการเผยแพร่อย่างแน่นอน เนื่องด้วยความกลัวที่คนร้ายข่มขู่ว่าถ้าไม่ทำตามจะถูกดำเนินคดี และความอยากกลับบ้าน ผู้เสียหายจึงยอมทำตาม
ในเวลาต่อมาคนร้าย ได้ติดต่อและส่งคลิปดังกล่าวให้กับแม่ของผู้เสียหาย ด้วย LINE อันเก่าของผู้เสียหายที่คนร้ายหลอกให้ SCAN QR CODE และได้โทรผ่าน LINE ติดต่อแม่ของผู้เสียหาย ซึ่งคนร้ายได้ส่งบทให้ผู้เสียหายพูดตามว่า “หนูไม่สำคัญกับแม่เลยใช่ไหมค่ะ หนูไม่มีค่าสำหรับแม่เลยใช่ไหม ถ้าแม่ไม่ช่วยหนู หนูคงไม่มีโอกาสได้กลับบ้านอีกแล้วนะ” จึงทำให้แม่เชื่อว่าผู้เสียหายอยู่กับคนร้าย และตกอยู่ในอันตราย โดยคนร้ายขู่ว่าผู้เสียหายจะเป็นอันตราย ถ้าแม่ของผู้เสียหายไม่โอนเงิน จำนวน 2 ล้านบาทเข้าบัญชีของผู้เสียหาย ต่อมาแม่ของผู้เสียหาย จึงได้แจ้งขอความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุด PCT 1
จากการสืบสวนทราบว่าผู้เสียหายเข้าพักอยู่ ณ พีพี รีสอร์ท ต.คูคต อ.ลำลูกกา จว.ปทุมธานี ทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ดำเนินการเข้าตรวจสอบณ รีสอร์ทดังกล่าว ซึ่งจากการเข้าตรวจสอบพบว่า นางสาว ก. นามสมมติผู้เสียหาย อยู่ภายในห้องเพียงคนเดียว โดยคนร้ายรีบตัดสายสนทนาทิ้งทันที โดยจากการสืบสวนพบว่า
คนร้ายทั้งหมดได้กระทำความผิดอยู่ที่ ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาร์ โดยใช้การโทรศัพท์ และควบคุมเหยื่อด้วยการวีดีโอคอล
พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม./หัวหน้า ศปอส.ตร.ชป.1 กล่าวว่า รูปแบบการกระทำผิดข้างต้นเป็น แผนประทุษกรรม แก๊งคอลเซ็นเตอร์ รูปแบบใหม่ โดยใช้วิธีการแยกหลอกเหยื่อ และผู้ปกครองของเหยื่อ โดยอ้างใช้การเรียกค่าไถ่ และข่มขู่จะทำอันตรายเหยื่อ เพื่อให้ผู้ปกครองยอมโอนเงินทั้งหมดให้ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องระดมกำลังเพื่อออกปฏิบัติการเนื่องจาก ผู้ปกครองเป็นห่วงความปลอดภัย เข้าใจว่าเป็นเรื่องเรียกค่าไถ่จริง สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมเป็นอย่างมาก อยากประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนมีภูมิคุ้มกันในแผนประทุษกรรมรูปแบบใหม่ของแก๊งคอลเซนเตอร์ และขอเตือนคนไทยที่ร่วมกระทำผิด