แม่-ลูกร้องสื่อ ถูกหลอกกู้เงินเป็นหนี้หลายแสน อ้างจะช่วยเหลือคนจน
อุทาหรณ์เตือนภัย แม่-ลูก ร้องสื่อถูกหลอกกู้เงินมีคนจะช่วยเหลือคนจน พอมารู้อีกทีเป็นหนี้ 4 แสน
ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องขอให้ช่วยเหลือจากสองแม่ลูก มีอาชีพขายพัดไม้ไผ่สานตามงานวัด เช่าบ้านอยู่บริเวณซุ้มประตูทางเข้าวัดสังกัสรัตนคีรี อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี
นางจงจิตร อายุ 60 ปี เล่ารายละเอียดเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ถึงเรื่องนี้ว่าเมื่อปีแล้วว่า มีนางสาวสุชาดา ซึ่งอ้างว่าเป็นนายกสโมสรไลอ้อน และเป็นภรรยาของเถ้าแก่โรงสี มาถึงบริเวณหน้าบ้านแล้วบอกว่าจะมาหาคนยากคนจนเพื่อช่วยเหลือโดยการพาไปทำเรื่องขอเงินคนจนจะให้รายละ 2 แสนบาทที่กรุงเทพฯ ให้ชักชวนคนที่มีฐานะยากจนไปกันเพื่อน จึงไปกัน 3 คนพร้อมกันที่กรุงเทพเมื่อปีที่แล้ว
หลังจากที่ไปถึงแล้วทางนางสาวสุชาดาผู้ชักชวนก็ขอบัตรประชาชนทั้ง 3 คนแล้วอ้างว่าขอนำไปตรวจว่าจะผ่านการคัดเลือกหรือไม่ ซึ่งหลังจากนั้นนางสาวสุชาดากลับมาแล้วบอกว่าทางนางจงจิตรไม่ผ่านการคัดเลือกแต่อีกสองคนที่มาด้วยกันผ่านแล้วสามารถทำเรื่องร้องขอได้ ซึ่งมีไปกันอีกหลายคนที่ไปทำเรื่องร้องขอเงินช่วยเหลือนี้
นางฉวี อายุ 65 ปี ชาวตำบลท่าซุง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งได้ไปกับนางจงจิตรด้วย ได้เปิดเผยว่าได้เช่าบ้านบริเวณดังกล่าวมาเป็น 10 ปีแล้วไม่มีบ้านเป็นของตัวเองในราคาเช่า 1,100 บาท และอยู่ด้วยกันกับลูกสาว ซึ่งเช่าอยู่ห้องถัดไปโดยสภาพบ้านเช่าเป็นห้องไม้เก่าและคับแคบ และรกไปด้วยข้าวของ และสกปรกมาก ห้องน้ำนั้นก็ใช้ไม่ได้
นางฉวีบอกว่าก่อนหน้านี้มีสามีอยู่ด้วย แต่ด้วยสามีป่วยติดเตียงและได้เสียชีวิตไปแล้ว อยู่กับลูกสาวเพียงสองคนอุทัยธานี มีอาชีพขายพัดสานด้วยไม้ไผ่ตามงานวัด ซึ่งตั้งแต่มีสามีก็ขาดเสาหลักของครอบครัว ไม่มีทรัพย์สินอะไรเป็นของตัวเองเลย เพราะด้วยความยากจนตั้งแต่เกิดมาพอมีรู้ว่าจะมีคนช่วยเหลือคนยากจนก็ได้ไปกันกับลูกสาวก็คือนางสาวน้ำอ้อย อายุ 46 ปี ก็เพราะว่ามีความหวังว่าจะได้เงิน 2 แสนบาท รวมกับลูกสาวด้วยก็เป็นเงิน 4 แสนบาทเพื่อมาจุนเจือครอบครัวจะได้ไม่ต้องลำบากอีกต่อไป
นางสาวสุชาดา คนที่บอกว่าจะช่วยเหลือนัดเจอแถวนวนคร ซึ่งไปถึง 2 ครั้งในครั้งแรกนั้นไปเพื่อนำบัตรประชาชนไปเช็คว่าผ่านเรื่องหรือเปล่า และครั้งที่สองหลังจากที่ผ่านแล้วไปทำการสแกนใบหน้า จากนั้นนางสาวสุชาดาฯก็บอกว่าเดี๋ยวรอเรื่องเอกสารที่ทางเจ้าหน้าที่กำลังจัดเตรียมแล้วก็เซ็นต์เอกสารแล้วรอการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารเท่านั้นก็เป็นอันเสร็จ
จากมานั้น พอได้เซ็นต์เอกสารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งลูกสาวหรือนางสาวน้ำอ้อย และนางจงจิตรเพื่อนบ้านก็กลับมายังจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งทางนางสุชาดาบอกว่าจะมีเงินค่อยทยอยโอนให้มาในบัญชีธนาคาร ซึ่งก็มีเงินโอนมาจริงโดยครั้งแรกเงินเข้าบัญชีของนางฉวีมีเงินโอนมาจำนวน 3,000 บาท เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว และหลังจากนั้นอาทิตย์กว่าส่งมาให้เป็นครั้งที่ 2 จำนวน 5,000 บาท รวมเป็นเงิน 8,000 บาท
ส่วนของนางสาวน้ำอ้อยก็มีเงินโอนเข้าบัญชีมาครั้งแรก 3,000 บาท ครั้งที่สอง 2,000 บาท พอหลังจากนั้นมาก็มีหนังสือทวงหนี้ของธนาคารกสิกรไทยบอกว่านางฉวีนั้นต้องชดใช้หนี้สินที่กู้ยืมทางธนาคารมาเป็นเงิน 310,000 บาท ส่วนลูกสาวหรือนางสาวน้ำอ้อยนั้น ทางธนาคารเคยมีหนังสือแจ้งเตือนมาบอกว่าเป็นหนี้อยู่ 180,000 บาท แล้วยังมีหนังสือของบริษัททนายที่ทางธนาคารเป็นผู้จ้างให้นางฉวีนั้นต้องใช้หนี้ที่ทำเรื่องกู้มาอีกด้วย
ทั้งสองก็ทั้งตกใจและพอมารู้อีกทีก็ถูกหลอกเสียแล้ว และด้วยความที่ทั้งสองอ่านหนังสือไม่ออก แล้วก็เซ็นต์เอกสารไปโดยที่มีความหวังว่าทางนางสาวสุชาดาจะช่วยเหลือจริงๆโดยทั้งสองแม่ลูกนั้นเป็นทุกข์หนัก ที่กลับกลายมาเป็นหนี้จำนวนดังกล่าว และก่อนหน้านี้ที่สามีป่วย นางฉวีและลูกสาวก็ต้องมาดูแลจึงไม่ได้ออกทำงานขายพัดจึงทำเรื่องกู้สหกรณ์การเกษตรไว้เป็นเงิน 180,000 บาท ซึ่งเป็นหนี้ที่กู้มาแบบถูกต้องแต่ทุกวันนี้ก็แทบจะไม่มีเงินส่งอยู่แล้ว แต่กลับมาโดนเรื่องนี้อีก
สองแม่ลูกบอกว่าเคยได้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมาแล้ว แต่ทางตำรวจบอกว่าอย่าแจ้งเลย หากเป็นคดีความป้าและลูกสาวก็ไม่ชนะอย่างแน่นอน และกลัวว่าทางนางสาวสุชาดาจะฟ้องกลับอย่างแน่นอน จึงได้ติดต่อกับทางผู้สื่อข่าวขอให้นำเสนอข่าวในเรื่องราวของตนเพื่อให้สังคมภายนอกเห็นแล้วอาจจะมีคนที่รู้กฎหมาย เข้ามาช่วยเหลือ
ในตอนนี้ยอมรับว่ากลัวมาก หากถูกดำเนินคดีติดคุกไปก็ต้องเสียชีวิตคาคุก หรือเรียกว่าตายคาคุกอย่างแน่นอน เพราะไม่มีปัญญาจะใช้หนี้ที่ตัวเองนั้นถูกหลอกไม่เพียงเท่านั้นทั้งสองคนแม่ลูกยังรักษาอาการทางประสาทอยู่หรือมีโรคประจำตัวป่วยเป็นจิตเวช แล้วเงินที่โอนให้สองแม่ลูกในทีแรกนั้นเชื่อว่าเป็นการให้ทั้งสองแม่ลูกตายใจในการหลอก
ตอนนี้นางสาวสุชาดานั้นก็ยังติดต่อได้โดนทั้งสองแม่ลูกก็โทรไปหาแต่บอกว่าไม่ขอชดใช้อะไรในเรื่องนี้ แล้วก็บอกว่ากำลังลำบากเหมือนกัน