ตร.ค้นบ้านแฟนเก่า 'เบียร์ เดอะวอยซ์' หลังนักร้องสาวแฉเป็นคนปล่อยคลิปลับ

ตร.ค้นบ้านแฟนเก่า 'เบียร์ เดอะวอยซ์' หลังนักร้องสาวแฉเป็นคนปล่อยคลิปลับ

'เบียร์ เดอะวอยซ์' แจ้งความ ตร.ไซเบอร์ เอาผิดมือดีปล่อยคลิปลับ เจ้าหน้าที่ขอหมายศาลค้นบ้านแฟนเก่า ยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตรวจสอบ เจ้าตัวปฏิเสธอ้างไม่รู้ภาพหลุดได้อย่างไร

หลังจากที่วันนี้ (23 กันยายน 2566) นักร้องสาว เบียร์ ภัสรนันท์ หรือ 'เบียร์ เดอะวอยซ์' ได้ออกมาชี้แจงกรณีคลิปหลุด โดยระบุว่าเป็นฝีมือแฟนเก่า ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น 

 

 

โดยจากรายงานระบุว่า เมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา 'เบียร์ เดอะวอยซ์' ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (บก.สอท.1) ภายหลังสอบปากคำและรวบรวมพยานหลักฐาน ทางพนักงานสอบสวนได้ขออำนาจศาลขอหมายค้น และเข้าค้นบ้านพักของผู้ถูกกล่าวหา เมื่อวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา 

 

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดอุปกรณ์ , มือถือ , ไอแพด , โน้ตบุ๊ก และคอมพิวเตอร์ ส่งให้กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ตอท.) ตรวจสอบ พร้อมกันนี้ได้เชิญตัวผู้ถูกกล่าวหามาสอบปากคำในฐานะพยาน ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ว่า 'ไม่ทราบว่าภาพดังกล่าวหลุดได้อย่างไร' ส่วนรายละเอียดอื่นๆอยู่ในสำนวน 

 

 

พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. กล่าวว่า คนที่ปล่อยคลิปลับของนักร้องสาวนั้น เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(4) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆที่มีลักษณะอันลามก และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

 

ส่วนคนที่แชร์หรือส่งต่อก็เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(5) ผู้ใดเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ ตาม (1) (2) (3) หรือ (4) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท เช่นเดียวกัน 

 

นอกจากนี้ในส่วนผู้กระทำความผิดที่เปิดลักษณะการเปิดรับสมาชิกหรือเรียกเก็บค่าเข้ากลุ่ม เพื่อรับชมคลิปหรือภาพลามกอนาจาร โดยผู้ที่ปรากฏในคลิป ผู้ผลิต หรือผู้นำคลิปไปเผยแพร่ได้รับประโยชน์ จากผู้อื่นเป็นค่าตอบแทน ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

 

'กรณีที่เกิดขึ้นอยากให้มองเป็นอุทาหรณ์ว่า การกระทำในลักษณะดังกล่าวแม้ช่วงเวลานั้นเกิดจากความยินยอมไว้เนื้อเชื่อใจโดยไม่ได้มีการบังคับ แต่หากเกิดมีภาพเผยแพร่ออกไป ไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม ก็จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและหน้าตาของบุคคลนั้น และย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง ไม่อาจที่จะแก้ไขได้ พร้อมฝากถึงผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ เมื่อพบเห็นการกระทำในลักษณะดังกล่าว อย่าเข้าไปดู อย่าแสดงความคิดเห็น หรือส่งต่อ ซึ่งอาจจะเข้าข่ายการกระทำความผิด'