แจ้งจับ 'เอก ฝ่ามือพลังจิต' หนุ่มพิการชี้หลอกเงินรักษา 5,000 อาการไม่ดีขึ้น
งานเข้าแน่ แจ้งจับ 'เอก ฝ่ามือพลังจิต' หนุ่มพิการชี้หลอกเงินค่ารักษา 5,000 บาท แต่อาการไม่ดีขึ้น แค่เอามือลูบหน้าผาก 15 นาที แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
พ่อแม่พาลูกชายเข้าร้อง ตำรวจ ปคบ.หลังลูกชายเข้ารับการรักษากับ “เอก ฝ่ามือพลังจิต” เสียเงินไปกว่า 5,000 บาท แต่อาการไม่ดีขึ้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ด้านลูกชายบอกอาจารย์อก แค่เอามือลูบหน้าผาก 15 นาที แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เกรงใจพ่อแม่จึงต้องยอมบอกว่าดีขึ้น
17 พฤศจิกายน 2566 นายรณณรงค์ แก้วเพชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พาพ่อแม่และนายโฟร์ (นามสมมุติ) อายุ 30 ปีลูกชายที่ไปรักษาอาการกับอาจารย์เอกฝ่ามือพลังจิต แล้วเสียเงินไป 5,000 บาท แต่อาการกับไม่ดีขึ้น จนรู้สึกว่าเหมือนถูกหลอกลวง อวดอ้างเกินความเป็นจริง มาเข้าพบ พ.ต.ต.ยุทธภูมิ โพธิ์สวัสดิ์ สว.(สอบสวน) กก.4.ปคบ. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีป้องกันไม่ให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อถูกหลอกเพิ่มอีก
พ่อของน้องโฟร์ กล่าวว่า ลูกของตนมีอาการเจ็บขาข้างซ้าย จมูกไม่ได้กลิ่น ต้องทำกายภาพบำบัด เนื่องจากประสบอุบัติเหตุเมื่อ 3 ปีที่แล้ว จึงได้ติดต่อขอคำปรึกษากับอาจารย์เอก ฝ่ามือพลังจิต เพราะเห็นคลิปอาจารย์เอก รักษาคนหายจากอาการป่วยต่างๆตามที่มีการเผยแพร่ในโซเชี่ยลจำนวนมาก จึงเชื่อถือและไว้ใจ ก่อนจะได้รับคำตอบ จากอาจารย์เอกกลับมา ว่าอาการป่วยของลูกตนนั้นสามารถรักษาหายขาดได้
แต่ช่วงนี้คิวคนติดต่อเข้ารักษามีจำนวนมาก หากอยากจะเข้ารับการรักษาแบบเร่งด่วน จะต้องยอมจ่ายเงินจำนวน 5,000 บาท ตนจึงตอบตกลง ยอมจ่ายเงินดังกล่าวให้ พร้อมกับพาลูกเข้ารับการรักษา รวมถึงซื้อยาพ่น และยากินจากอาจารย์เอก อีก 2 ขวดในราคาขวดละ 650 บาท
สุดท้ายอาการของลูกชายตน กลับก็ไม่ได้ดีขึ้น ตามที่กล่าวอ้างทำให้เชื่อว่าถูกหลอก จึงตัดสินใจนำเรื่องมาเข้าแจ้งความกับตำรวจสอบสวนกลางในวันนี้ เพื่อไม่ให้อาจารย์เอกไปหลอกเงินชาวบ้านแบบนี้อีก หากตนได้เงินคืน 5,000 บาทจะเอาเงินจำนวนนี้ไปมอบให้กับสถานสงเคราะห์เด็กพิการ
ด้านนายโฟร์ กล่าวว่า อันที่จริงแล้วตนเองก็ไม่ได้เชื่อว่า อาจารย์เอกจะรักษาตนหายจากอาการป่วยได้ เพียงแต่เห็นว่าพ่อแม่เสียเงินไปแล้ว จึงยอมเข้ารักษา ทั้งๆที่ไม่ได้ศรัทธา เมื่อไปถึงปรากฏว่า อาจารย์ใช้เวลาแค่ 15 นาที ในการตบศีรษะลูบหน้าผาก ซึ่งตนเองบอกว่าไม่มีความรู้สึกอะไรเลย อาจารย์จึงลองทำให้อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ถามว่า เบาขึ้นไหม ด้วยความเกรงใจไม่อยากให้เสียหน้า จึงบอกไปว่าเบาขึ้นเล็กน้อย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการรักษาในครั้งนั้นไม่มีอะไรดีขึ้นเลย