เช็กภาพวงจรปิด นาทีหลังสังหารโหด หนุ่มไต้หวัน เร่งออกหมายจับ 4 ผู้ร่วมแก๊ง

เช็กภาพวงจรปิด นาทีหลังสังหารโหด หนุ่มไต้หวัน เร่งออกหมายจับ 4 ผู้ร่วมแก๊ง

อัปเดต เปิดภาพวงจรปิดนาทีหลังสังหารโหด ฆ่ามัดมือเท้า ชิงทรัพย์หนุ่มไต้หวัน เผยชายแคเมอรูนเป็นนกต่อ ลวงผู้ตายออกไปทานข้าว ก่อนเปิดประตูรอ 2 คนร้ายลงมือทันที หลังรวบแล้ว 2 ผู้ต้องหาเร่งสอบขยายผล พร้อมเตรียมออกหมายจับ 4 หมาย ด้านแม่หนุ่มเมียนมาร่ำไห้ทราบข่าวลูกถูกจับ

ความคืบหน้าคดีฆาตรกรรมโหด ฆ่ามัดมือมัดเท้า ชิงทรัพย์ หนุ่มไต้หวัน ภายในโรงแรมแห่งหนึ่ง ย่านอุดมสุข เขตบางนา กรุงเทพฯ หรือ กทม. ล่าสุดตำรวจชุดสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ เป็นคลิปวิดีโอ จำนวน 2 ภาพ โดยภาพแรกมีความยาว 1 นาที 42 วินาที ระบุเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน เวลา 01.06 น.

โดยภายในภาพเป็นเหตุการณ์หลังคนร้ายเป็นชาย 2 คนก่อเหตุเสร็จแล้ว ซึ่งคนแรกเป็นชายชาวต่างชาติ ผิวขาว สวมเสื้อแขนสั้นสีดำ นุ่งกางเกงสีเข้มขายาว ใส่หมวก และใส่หน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้ามิดชิด สะพายเป้สีดำ พร้อมทั้งถือกระเป๋าสีดำหนึ่งใบ เดินออกจากลิฟท์ จากนั้นได้เดินไปเคาะประตูห้องพัก ก่อนจะเดินมารอที่หน้าลิฟท์

จากนั้นไม่นาน ได้มีคนร้ายอีกราย ซึ่งเป็นชายชาวเมียนมา สวมเสื้อแจ็กเก็ตแบบมีฮู้ด สีดำ ที่แขนมีลายแถบสีขาว นุ่งกางเกงขาสั้น สวมหมวกแก็บสีดำ พร้อมใส่หน้ากากอนามัย ปิดบังใบหน้าอย่างมิดชิดเช่นกัน เดินออกมาจากห้องพัก ก่อนจะพากันลงลิฟท์ไปทั้งคู่

ส่วนอีกภาพเป็นคลิปวิดีโอ วงจรปิดบริเวณหน้าลิฟท์ชั้นล่างของโรงแรม มีความยาว 8 วินาที ในภาพพบชายผิวสี รูปร่างสันทัดผมสั้น สวมเสื้อยืดคอกลมแขนสั้น สีเหลือง นุ่งกางเกงขายาวสีกากี เดินถือโทรศัพท์มือถือเดินออกจากลิฟท์มาด้วยความรวดเร็ว

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ภายหลังที่ทางตำรวจได้จับกุมตัวผู้ต้องหา ชายชาวเมียนมา อายุ 21 ปี และชายผิวสีชาวแคเมอรูน อายุ 40 ปี ได้แล้วนั้น จึงได้ทำการสืบสวนขยายผลจนทราบว่า กลุ่มคนร้ายมีการวางแผนมาเป็นอย่างดี โดยมีชายผิวสีชาวแคเมอรูน เป็นตัวนกต่อ เนื่องจากรู้จักกับผู้ตายเป็นอย่างดี ได้ให้เป็นผู้ติดต่อผู้ตายให้ไปรับประทานอาหาร โดยให้ชายชาวต่างชาติ ผิวขาว และชายชาวเมียนมา รออยู่ที่โรงแรม

ต่อมาเมื่อผู้ตายและชายชาวต่างชาติผิวสี รับประทานอาหารเสร็จแล้ว จึงพากันกลับขึ้นไปบนห้องพัก โดยระหว่างนั้นชายชาวต่างชาติผิวสี ได้ส่งสัญญาณถึง 2 ผู้ก่อเหตุ กระทั่งมาส่งผู้ตายถึงห้องพัก ก่อนออกจากห้องไม่ได้ทำการล็อคกรประตูไว้ จึงทำให้ชายชาวต่างชาติผิวขาว และชายชาวเมียนมาเข้าไปลงมือก่อเหตุได้ทันที ก่อนจะนำทรัพย์สินที่เป็นโน๊ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ และบัตรเครดิต และหลบหนีไป

อย่างไรก็ตาม วันนี้ ทางตำรวจชุดคลี่คลายคดีอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมด 4 ราย ประกอบไปด้วยชายชาวต่างชาติผิวขาว ชายผิวสีชาวแคเมอรูน และชายชาวเมียนมา รวมทั้งหญิงไทย อีกรายที่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้น ได้ถูกผู้ตายนำเงินของตัวเองไป ซึ่งต้องพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน เมื่อเที่ยงที่ผ่านมา ทางด้านแม่ และเพื่อนของชายชาวเมียนมา หนึ่งในผู้ร่วมก่อเหตุได้เดินทางมาเยี่ยมลูกชาย ซึ่งทางครอบครัวไม่สะดวกให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแต่อย่างใด เพราะอยู่ในอาการโศกเศร้า เสียใจ ไม่คาดคิดว่า จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ 

ทีมข่าวได้พยายามสอบถามข้อมูลสั้น ๆ กับทางเพื่อนของชาวเมียนมา จึงทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ชายชาวเมียนมา ได้มีการโทรศัพท์ติดต่อให้เพื่อนพาผู้เป็นแม่ที่อยู่ต่างประเทศเดินทางมารับการรักษาดวงตาที่ประเทศไทย เนื่องจากมองไม่เห็น แต่ระหว่างนั้น เพื่อนของชายชาวเมียนมาเพิ่งทราบเหตุการณ์ดังกล่าว ก็รู้สึกตกใจ จึงรีบพาแม่ของชายชาวเมียนมามาหาลูกชายที่ สน.บางนา ทันที ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เดินทาง แม่ของชายชาวเมียนมานั้น ได้แต่ร้องไห้ตลอดทาง ไม่ยอมพูดอะไร 

โดยเมื่อสักครู่ที่ผ่าน ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.บางนา ได้นำผู้เกี่ยวข้องในคดี 2 ราย เป็นผู้ต้องสงสัย 1 ราย พร้อมด้วยภรรยาที่ได้ทำการสอบปากคำตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา นานกว่า 4 ชั่วโมง ออกไปจาก สน.บางนา โดยหญิงสาวที่เป็นภรรยา สวมชุดดำ ใส่ผ้ากันเปื้อนสีเหลือง 1 คน และชายผิวสี ชาวแคเมอรูน อีก 1 คน ออกจาก สน.บางนา ไปอย่างเร่งรีบ 

ซึ่งจากการสอบถามกับทางเจ้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง ระบุว่า หญิงสาวรายดังกล่าวเป็นหนึ่งในพยาน ส่วนชายผิวสีนั้น มีความเกี่ยวข้องกับคดี แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้ แต่คาดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวทั้ง 2 คนไปทำการขยายผลในการติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุที่เหลือ โดยชายชาวแคเมอรูน ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่าเป็นเพียงครูสอนภาษา ส่วนผู้ต้องหาชาวเมียนมา ยังคงสอบปากคำอยู่ภายในห้องสืบสวน ซึ่งเจ้าตัวให้การภาคเสธ


ตม.- นครบาลร่วมสืบฯ คดีสังหารหนุ่มไต้หวัน

พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รองผู้บัญชาการตรวจคนเข้าเมือง(รอง ผบช.สตม.) กล่าวถึงกรณีการเสียชีวิตของนายชูเชียง เฉิน อายุ 48 ปี ชาวไต้หวัน ภายในโรงแรมย่านอุดมสุข ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ ตม.ได้รับการประสานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.)ให้เข้าร่วมสืบสวนสอบสวนกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยในวันนี้ จะมีการประชุมร่วมกันที่ บช.น. เพื่อวางแนวทางและตรวจสอบข้อมูลร่วมกัน

ในส่วนของ สตม.จะมีการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางเข้าออก เบื้องต้น ทราบว่านายชูเชียง เฉิน เดินทางเข้าออกในประเทศหลายครั้งเนื่องจากมีธุรกิจในประเทศไทย แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดว่าเดินทางเข้าประเทศตั้งแต่เมื่อใด ซึ่งโดยเฉลี่ยมีการเดินทางเข้า- ออก เดือนละ 1 ครั้ง ล่าสุด เข้าประเทศไทยเมื่อช่วงตี 1 ของวันที่ 14 พฤศจิกายน และมาเปิดห้องพักเมื่อเวลา 12.43 น. ของวันเดียวกัน 

เจ้าหน้าที่โรงแรมพบเห็นผู้เสียชีวิตครั้งสุดท้าย เมื่อเวลาประมาณ 12.50 น. วันที่ 15 พฤศจิกายน ก่อนพบเป็นศพในเวลาต่อมา

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า นายชูเชียง เฉิน ประกอบธุรกิจสีเทาและถูกดำเนินคดีในไต้หวัน จะมีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ แต่การสอบสวนพบว่ามีข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับการเสียชีวิตในครั้งนี้ 

มีรายงานว่า นายชูเชียง เฉิน เดินทางเข้า- ออกประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2565 จน​ปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น 22 ครั้ง ขณะที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย ชาย ชาวเมียนมา 1 คน ที่ห้องพัก เนื่องจากหลักฐานพบว่าเป็น 2 คนสุดท้าย ที่เข้าไปพบนายชูเชียง เฉินก่อนเสียชีวิต