ลุย 21 จุด จับ 7 พ่อค้าปืนออนไลน์ ตัวการส่งกระสุนเด็ก 14 กราดยิงห้างดัง
ตำรวจเปิดปฎิบัติการกวาดล้างผู้ค้าอาวุธปืนออนไลน์ในโซเชียลมีเดีย 12 จังหวัด 21 จุด จับกุมผู้ต้องหา 7 ราย พร้อมของกลาง จับตัวการขายส่งกระสุนให้เด็ก 14 ปี กราดยิงกลางห้างดัง จับพวกขายปืนทิพย์ หลอกโอนเงินอีก 8 ราย
พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิลาลัย รอง ผบก.ปอท. , พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.2 บก.ปอท. และ พ.ต.ท.นิธิ ตรีสุวรรณ รอง ผกก.2 บก.ปอท. แถลงข่าวผลการปฏิบัติการกวาดล้างผู้ค้าอาวุธปืนผ่านโซเชียลหรือออนไลน์
โดยมีการระดมเจ้าหน้าที่และบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าปิดล้อมตรวจค้น 12 จังหวัด 21 จุด คือ กรุงเทพมหานคร, ปทุมธานี, นนทบุรี, สมุทรสาคร, สมุทรปราการ, พระนครศรีอยุธยา, ชลบุรี, อุดรธานี, พิจิตร, เชียงใหม่, กาญจนบุรี และ นครศรีธรรมราช
สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ซึ่งหน้า 7 คน ถูกแจ้งข้อหา “มีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต”
ผลการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย และจับกุมผู้ต้องหาครั้งนี้ เจ้าหน้าที่สามารถยึดของกลางเป็น อาวุธปืนยาว 4 กระบอก , อาวุธปืนสั้น 3 กระบอก , แบลงค์กัน 3 กระบอก , ปืนไทยประดิษฐ์ 2 กระบอก , เครื่องกระสุนอีกหลายขนาด รวม 110 นัด และ อุปกรณ์ส่วนควบ อาทิ ที่เก็บเสียง , ลำกล้อง , ชุดลั่นไก กว่า 22 ชิ้น
ทั้งนี้ ตำรวจยังจับกุม นายอภิเชษฐ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ในข้อหา “ร่วมกันจำหน่ายเครื่องกระสุนปืนสำหรับการค้า โดยไม่ได้รับ อนุญาต” ได้อีก 1 คน โดยจับกุมได้ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา
อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหารายนี้เจ้าหน้าที่สืบทราบว่าเป็นผู้ที่ขายและส่งกระสุนให้กับเด็กชายอายุ 14 ปี นำไปใช้กราดยิงในห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ที่ผ่านมา
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่พบว่ามีกลุ่มคนร้ายที่ฉ้อโกง ด้วยการหลอกขายอาวุธปืนผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีการเปิดเพจขายอาวุธปืนหลอกเหยื่อ เมื่อมีการโอนเงินซื้อขาย ฝ่ายคนร้ายก็จะไม่ส่งสินค้าให้
จากการตรวจสอบพบว่าคนร้ายกลุ่มนี้มี 10 คน จึงได้ขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญาในข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่ง ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”
และจับกุมคนร้ายไว้ได้ 8 คน โดยมี 5 คน ที่รับสารภาพว่า เป็นคนสร้างเฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์ ประกาศขายปืน, แบลงค์กัน, ปืนปากกา , เครื่องกระสุนปืนขึ้นมา หลอกประชาชนที่สนใจอาวุธปืน และเคยถูกโกงลักษณะนี้มาก่อน เลยมาก่อเหตุเพื่อเอาเงินคืน ส่วนอีก 3 คน รับสารภาพว่ามีการรับจ้างเปิดบัญชีม้า เพื่อรับโอนเงินจากการกระทำความผิดของขบวนการนี้
ทางตำรวจ กก.2 บก.ปอท. ตรวจสอบเส้นทางการเงินของแก๊งนี้ พบว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา หลอกลวงผู้เสียหายไปแล้ว 180 คน รวมมูลค่าความเสียหาย 655,000 บาท แต่เนื่องจากเป็นการซื้อขายอาวุธปืนผิดกฎหมาย จึงทำให้ไม่มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแต่อย่างใด
และทางเจ้าหน้าที่ยังมีปฏิบัติการปิดกั้น URL ที่มีการประกาศขายอาวุธปืน ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ในช่วงตลอดเดือนพฤศจิกายนนี้ ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. ได้ทำการสืบสวนรวบรวม พยานหลักฐาน เพื่อปิดกั้นเว็บเพจ เฟซบุ๊ก และ ทวิตเตอร์ ที่มีการประกาศขายอาวุธปืน, แบลงค์กัน, ปืนปากกา, ปืนไทยประดิษฐ์ และเครื่องกระสุนปืน โดยได้ทำการปิดกั้นไปแล้วทั้งสิ้น 146 URL แบ่งเป็น URL Facebook จำนวน 48 URL และ URL Twitter จำนวน 98 URL
เบื้องต้น ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาและของกลางส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
ด้าน พ.ต.อ.เนติ กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นการระดมเจ้าหน้าที่ และบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกวาดล้างการจำหน่ายปืนผ่านสังคมออนไลน์ โดยมีการดำเนินการใน 3 มิติ ซึ่งในส่วนของมิติแรก คือการจับกุมผู้ค้าอาวุธปืนผ่านโซเชียล และหนึ่งในเป้าหมายของเจ้าหน้าที่ คือ นายอภิเชษฐ์ ผู้ต้องหาตามหมายจับของ สน.ยานนาวา
ซึ่งผลการจับกุมครั้งนี้มาจากการขยายผลจับกุมผู้ต้องหาคดีอาวุธปืนก่อนหน้านั้น และมีการตรวจสอบเพิ่มเติมจนเจอตัวผู้ต้องหารายนี้ เบื้องต้นเจ้าตัวยังให้การปฏิเสธในข้อกล่าวหา
พ.ต.อ.เนติ ระบุอีกว่า จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ในเบื้องต้น พบว่า นายอภิเชษฐ์ เป็นผู้ต้องหารายสุดท้ายที่เกี่ยวพันกับคดีเด็กชายอายุ 14 ปี กราดยิงในห้างสรรพสินค้า โดยเป็นคนขายส่งกระสุนปืนให้กับเด็ก
ซึ่งแนวทางการสืบสวนพบว่า ก่อนหน้านั้นเด็กชายได้มีการสั่งซื้อกระสุนปืน กับผู้ต้องหากลุ่มแรกที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ ในขนาด 9 ม.ม. แต่เมื่อซื้อมาแล้ว ก็ไม่สามารถใช้งานได้ จึงได้มีการสั่งกระสุนกับนายอภิเชษฐ์อีกครั้ง ในขนาด .38 ม.ม. และกระสุนถูกจัดส่งมาในช่วงเช้าวันที่ 3 ตุลาคม ก่อนที่ในช่วงเย็น จะเกิดเหตุกราดยิงขึ้นในห้างสยามพารากอน
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คุมตัวนายอภิเชษฐ์ ส่งพนักงานสอบสวน สน.ยานนาวาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย