ย้ายร่าง 23 ผู้เสียชีวิต เหตุโรงงานพลุระเบิด ณ วัดโรงช้าง รอพิสูจน์อัตลักษณ์

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. บินด่วนลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุโรงงานพลุระเบิด จ.สุพรรณบุรี จนทำใหมีผู้เสียชีวิต 22 ราย พร้อมทั้งเปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ปิดกันพื้นที่เกิดเหตุโดยเด็ดขาด และห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าพื้นที่ 

และระดมเจ้าหน้าที่กู้ภัยจากหน่วยต่างๆในพื้นที่ เข้าทำการค้นหาและเก็บร่างชิ้นส่วนของผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ให้เสร็จสิ้น และจะขนย้ายร่างไปยังวัดโรงช้าง ต.ศาลาขาว อ.เมืองสุพรรณบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 3 กิโลเมตร

โดยทางเจ้าหน้าที่ฯ ได้ต่อรถโรงห้องเย็นจากมูลนิธิเพชรเกษม และของ รพ.ตำรวจ มาเก็บรักษาร่างของผู้เสียชีวิตเอาไว้ก่อน และจะได้ทำการพิสูจน์อัตลักษณ์อย่างละเอียดต่อไป 

 

ต่อมาเมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 17 ม.ค. 67 เจ้าหน้าที่ได้ปิดกันพื้นที่เกิดเหตุไม่ให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด โดยบรรยายกาศช่วงหัวค่ำ ที่ศาลาวัดโรงช้าง หมู่ที่ 2 ต.ศาลาขาว อ.เมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นที่นำร่างผู้เสียชีวิตมาพักไว้เพื่อทำการตรวจสอบอัตลักษณ์ว่าเป็นใครบ้าง 

และทางจังหวัดสุพรรณบุรี ได้จัดเจ้าหน้าที่มาตั้งโต๊ะ เพื่อให้ญาติของผู้เสียชีวิตที่ทำงานในโรงงาน และที่ยังหาตัวไม่เจอ มาลงทะเบียน เพื่อตรวจสอบว่าผู้ตายเป็นใครบ้าง

เบื้องต้น ทราบว่า ผู้เสียชีวิตมีทั้งหมด 22 คน เป็น ชาย 12 คน และหญิง 10 คน ซึ่ง 1 ในนั้นมีนางแสงเดือน ปานจันทร์ เจ้าของโรงงานและลูกชาย นายธารา วัชระพิมลมิตร รวมอยู่ด้วย 

 

โดยหลังเกิดเหตุ นายสุริยา วัชระพิมลมิตร เจ้าของโรงงาน ซึ่งเป็นสามีนางแสงเดือนผู้ตาย ได้เดินทางมาที่เกิดเหตุ เล่าว่าตอนเกิดเหตุตนไม่อยู่ที่บ้าน ออกไปส่งพลุ ส่วนสาเหตุที่เกิดขึ้น จนทำให้โรงงานเกิดระเบิด ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร 

นายสุริยา เล่าต่อว่า ผมจะเข้ามาที่โรงงานตอนเย็น พอดีน้ำมันมันหมด เลยไปเติมน้ำมัน แต่มันเกิดเหตุแล้ว มันเข้ามาไม่ได้ ก็แค่นั้น 

ตอนนั้นผมไม่รู้อะไรเลย คนงานในโรงงานเป็นคนงานทำงานเหมา บางทีเขาก็มา บางทีเขาก็ไม่มา บางวันก็มานอน มาไม่แน่นอน ผมไม่รู้ว่าแต่ละวันจะมีคนมาเท่าไหร่ เพราะส่วนมากก็เป็นคนทำนา วางเว้นจากการทำนา ก็มาทำพลุ 

เริ่มงานประมาณ 7 โมง เลิกงานก็ประมาณ 17.00-18.00 น. บ้างแล้วแต่บ้างวัน ขึ้นอยู่กับอากาศมันมืดไว้ มืดช้า ช่วงนี้ก็เลิกประมาณ 5 โมงเย็น 

 

 

ตอนนี้ผมพูดอะไรไม่ออกเลย พอมาเห็นในสภาพแบบนี้ มันตันไปหมดเลย ก็เป็นกำลังใจให้กับทุกคน แม้แต่ตัวผมเองก็ต้องมีกำลังใจเหมือนกัน ตอนนี้ก็ได้พวกน้องๆ มาช่วย และก็มีลูกสาวอยู่บ้าน หลังจากนี้ก็น่าจะยุติการทำพลุทั้งหมด เพราะแฟนผมก็เสียไปแล้ว มันไม่มีคู่คิดอะไรแล้ว ผมมีลูกอีก 3 คนที่ต้องดูแลอยู่ 

ในวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นเราไม่รู้เลย เราไม่รู้เลยว่าเหตุเกิดจากอะไร เราไม่ทราบอะไรเลย แล้วผมก็ยังไม่พร้อมที่จะเข้ามาที่โรงงาน 

ด้านนายธนวุฒิ บุญมา สามี น.ส.สุชาดา พันธุ์เผือก (ผู้เสียชีวิต) กล่าวว่า ภรรยาเข้าไปทำงานที่โรงงานพลุ-ดอกไม้ไฟ มานานถึง 2-3 ปี แล้ว และช่วงปลายปี 66 โรงงานแห่งนี้ ก็เคยระเบิดมาแล้ว ตอนนั้นภรรยาสามารถวิ่งหนีออกมาได้ทัน ทำให้รอดชีวิตออกมาได้ แต่วันเกิดเหตุ (17 ม.ค. 67) ภรรยาไม่สามารถกลับออกมาได้ โดยก่อนเกิดเหตุได้ออกจากบ้านมาตั้งแต่ 7 โมงเช้า

โดยเขาบอกว่า มีการจ้างเป็นงานเหมา ทำมากก็จะได้มากโดยได้เฉลี่ยประมาณวันละ 300 ถึง 400 บาท ซึ่งครอบครัวมีลูกสามคน อายุ 20 ปี 7 ปี และ 2 ขวบ ตอนที่เกิดเหตุผมรับจ้าง ทำงานอยู่อีกที่ ตอนนี้ยังไม่รู้จะทำยังไง 

 

 

ทางด้านนายสมเกียรติ สวยค้าข้าว น้องชายคนงานที่ทำงานในโรงงาน กล่าวว่า พี่ชายกับพี่สะใภ้มาทำงานอยู่ที่โรงงานนี้นานแล้ว ตอนนี้ยังไม่เจอ แต่คิดว่าขณะเกิดเหตุระเบิดทั้ง 2 น่าจะอยู่ในโรงงานพลุแห่งนี้ ซึ่งตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่เข้าไปดู คิดว่าต้องเป็นผู้ประสบเหตุอยู่ในนี้แน่นอน 

ผมก็เคยเตือนพี่แล้วแต่เขาไม่ฟัง บอกเขาไม่ต้องมาทำแต่เขาก็มาทำ เพราะอยากมีเงิน ครั้งที่แล้วที่เกิดเหตุเขาก็รอดมาแล้วครั้งหนึ่ง พี่ชื่อนายโสพล กับ นางรำไพ ตอนนี้อยากจะให้เอาศพออกมาไวๆ เพราะว่าจะได้รู้ว่าเขาตายแล้วแน่นอน 

ด้าน พล.ต.ต.วัชรินทร์ ประสพดี ผบก.ภ.จว.สุพรรณบุรี กล่าวว่า วันนี้ทาง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร์ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี และผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 7 ได้ เดินทางมาที่เกิดเหตุ และได้มีการสั่งการให้ตำรวจสุพรรณบุรี ดำเนินการอยู่หลายเรื่อง 

ซึ่งเรื่องที่ 1 คือให้มีการเคลื่อนศพทั้งหมดไปไว้ที่วัดโรงช้าง เพื่อจะรอการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล เรื่องที่ 2 ให้นำพยานที่เกี่ยวข้องไปสอบปากคำที่ สภ.เมืองสุพรรณบุรี และในวันนี้ (18 ม.ค. 67) เจ้าที่กองพิสูจน์หลักฐานชุดใหญ่ 50 คน ก็จะเดินทางมาเก็บพยานหลักฐาน ในช่วงเวลา 8 โมงเช้า โดยจะเข้ามาตรวจที่เกิดเหตุอีกครั้ง ในเบื้องต้นพบผู้เสียชีวิตประมาณ 20 ศพ

ส่วนที่เหลืออีก 3 ยังไม่พบ และไม่มีผู้บาดเจ็บ ได้รับคำยืนยันจากเจ้าของโรงงานและกำนันในพื้นที่ว่า ผู้ที่เข้ามาทำงานในโรงงานมีประมาณ 23 คน ซึ่งตรงนี้ความชัดเจนคงจะต้องรอการตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลอีกครั้งหนึ่ง 

ตอนนี้ได้ประเมินผู้สูญหายไว้ 3 คน ซึ่งเจ้าของโรงงานที่เป็นสุภาพสตรีและลูกชายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุด้วย โดยสาเหตุเบื้องต้นจะต้องรอดูการสอบสวนของกองพิสูจน์หลักฐานและผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะรู้สาเหตุที่แท้จริงอีกครั้ง 

 

 

โดยคนทั้งหมดเป็นคนในพื้นที่ โดยทางผู้บัญชาการภาค 7 ได้สั่งการให้ไปพบญาติของผู้สูญหาย ว่ามีกลับไปบ้านไหม สอดคล้องกับข้อมูลที่เรามีทั้ง 23 คนหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่พบก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 

คาดว่าจะเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิตได้หมด โดยที่เกิดเหตุตอนนี้ทางเจ้าที่ได้ควบคุมสภาพไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ไม่น่าเกิดเหตุอะไรขึ้นได้อีก โดยตอนนี้ได้เชิญสามีของผู้เสียชีวิตเจ้าของโรงงานไปสอบปากคำที่ สภ.เมืองสุพรรณบุรี

ซึ่งตอนเกิดเหตุไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ซึ่งครอบครัวของเจ้าของโรงงานมีภรรยาและบุตรที่เสียชีวิต