'ฝรั่งเตะหมอ' โดนแล้ว! ผบช.ภ.8 ส่งหลักฐานถึง ตม. ขอถอนวีซ่า

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8 กล่าวว่า กรณี 'ฝรั่งเตะหมอ' นายเดวิด ชายชาวสวิตเซอร์แลนด์ ทำร้ายแพทย์หญิง ขณะนั่งชมวิวอยู่บริเวณชายหาดยามู ท้องที่ สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต ทั้งนี้ยังมีคนแฉพฤติกรรมของนายเดวิดอีกหลายเรื่อง อาทิ ขับรถขวางรถกู้ภัยพร้อมชูนิ้วกลางให้, มีปัญหาขัดแย้งและทะเลาะวิวาทกับผู้ที่เคยให้เช่าอาคารที่ตั้งสำนักงาน ทั้งยังข่มขู่คู่กรณี จนเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม

 

 

ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่า นายเดวิด ชายชาวสวิตเซอร์แลนด์ หรือ ฝรั่งเตะหมอ ได้รับการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรด้วยเงื่อนไข มีเหตุจำเป็นทางธุรกิจ และ เป็นคู่สมรสของผู้มีสัญชาติไทย อย่างไรก็ดีพบพฤติกรรม เป็นบุคคลที่มีพฤติกรรมละเมิดกฎหมาย ข่มขู่จะก่อเหตุร้ายอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชน ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 12 (7) ซึ่งทาง บก.ภ.จว.ภูเก็ต ได้รวบรวมพยานหลักฐานส่ง ตม.จว.ภูเก็ต เพื่อขอเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของคนต่างด้าว (ถอนวีซ่า) และหากได้รับผลการพิจารณาคดีอาญาจะส่งเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการต่อไป

 

 

 

นอกจากนี้ กรณีที่ไปกล่าวอ้างนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน อยู่ในระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง สิ่งเกิดขึ้นเป็นการกระทำของบุคคล ทั้งใช้กำลังประทุษร้าย ดูหมิ่น ดูแคลนเกินสมควร จึงเกิดการทวงถามถึงการได้รับความคุ้มครอง ความสุภาพ และเคารพซึ่งกันและกัน ตลอดจนความยุติธรรมในการสืบสวนสอบสวนคดีที่เกิดขึ้น แต่ความกังวล ความห่วงใย มีหลากหลายความคิด สภาพสังคมของภูเก็ต ชาวต่างชาติที่มาแต่ละกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มนักท่องเที่ยว มาพักอาศัย ประกอบธุรกิจ ลงทุนร่วมกับนิติบุคคลสัญชาติไทย ได้รับผลกระทบแตกต่างกันไป สิ่งจำเป็นต้องไม่ให้มีการละเมิดกฎหมาย หากมีผู้ใดละเมิดกฎหมาย ก็ต้องถูกบังคับใช้กฎหมาย

 

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8 ร่วมกับ ภ.จว.ภูเก็ต ตรวจสอบข้อมูลบุคคลเฝ้าระวัง ในระบบฐานข้อมูลที่ตำรวจรวบรวมไว้ ตรวจสอบทุกมิติ ที่ลักลอบละเมิดกฎหมาย โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลเฝ้าระวังที่เป็นชาวต่างชาติ ที่อยู่เกินกำหนดเวลา (over stay) การประกอบอาชีพต้องห้ามของคนต่างชาติ ให้บังคับใช้กฎหมายโดยประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และรายงานผลการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง