สปก. กับป่าในอุทยานฯ : อะไรคือโจทย์ที่แท้จริง
เรื่อง สปก.กับ พื้นที่ป่า เป็นเรื่องที่ผู้คนสนใจกันมากในช่วงนี้ ผมจึงอยากจะขอคิดด้วยคน และจะพูดอยู่ 6 ประเด็น
คือ 1.เราอยู่ในสังคม เราต้องเคารพกฎหมาย 2.คำตอบหรือวิธีการแก้ไขต้องตอบโจทย์ให้ได้ ไม่เช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์ 3.ปัญหาและอุปสรรคที่สืบเนื่องจากกฎหมายที่มีอยู่ 4.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่
5.โจทย์ที่แท้จริงคืออะไร ถ้าหาโจทย์นี้ไม่เจอก็ป่วยการที่จะไปหามาตรการมาแก้ไข และ 6.จะแก้ปัญหานี้ในช่วงสั้นและอย่างถาวรได้อย่างไร
1.เราต้องเคารพกฎหมาย
สังคมดีคือ สังคมที่คนในสังคมเคารพกฎหมาย มิฉะนั้นสังคมจะอยู่ไม่ได้ กรณีนี้ก็เช่นกัน หน่วยงานระดับกรมของทั้งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงทรัพยากรฯ ต่างก็อ้างถึงกฎหมายที่ตัวเองถืออยู่ และพยายามนำมาหักล้างกันและกัน ซึ่งถือว่าดีเพราะต่างกำลังถกเถียงกันในกรอบและบทบัญญัติที่สังคมกำหนดไว้ให้เดิน
2.คำตอบต้องตอบโจทย์ให้ได้
ถ้ามีวิธีแก้ไข แต่เอามาใช้ตอบโจทย์ไม่ได้หรือได้ไม่ดีวิธีการนั้นก็แทบจะไร้ค่า คำถามที่ควรต้องถามต่อคือแล้วโจทย์ที่จะให้หาคำตอบให้ได้นั้นเป็นโจทย์ที่แท้จริงของกรณีหรือไม่
ถ้าไม่ใช่ มาตรการใดๆแม้นจะดีเพียงไรก็หาคำตอบที่ดีและถูกต้องไม่ได้อยู่ดี ดังนั้น ต้องหาให้ได้ก่อนว่าโจทย์ที่แท้จริงในที่นี้คืออะไร ซึ่งจะขอขยายความในหัวข้อถัดๆไป
3. ปัญหาจากกฎหมายที่มีอยู่
กฎหมายบ้านเราเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจแก่กรมกองต่างๆในการปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่มักจะตีความกันแคบคือทำนอกเหนือจากที่กำหนดเขียนไว้ไม่ได้ กฎหมายลักษณะนี้เป็นแท่งๆ ของใครของมัน และส่วนมากก็ล้าสมัย
ทั้งสามปัญหานี้ทำให้เกิดการไม่บูรณาการกันและเกิดความขัดแย้งกันดังที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เหมือนกับกรณีการออกเอกสารสิทธิ์ สปก.ทับที่ของอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง จนเป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้างของสังคมไทยปัจจุบันและคาดหวังกันว่ารัฐจะต้องหาคำตอบอันเป็นที่ยอมรับได้ทั้งทางนิติศาสตร์ วิทยาศาสตร์(แผนที่) และสังคมให้ได้ในเร็ววัน
4.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
จากการที่ได้อ่านและติดตามข่าวมาโดยตลอด ทำให้ผมเข้าใจว่าเอกสารสิทธิ์ สปก.ที่หน่วยราชการไปออกหรือจะออกนั้น บางแห่งอยู่ในที่ลาดชัน ซึ่งไม่เหมาะแก่การเกษตร รวมทั้งอาจจะผิดกฎหมายในแง่ของประเภทพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ ด้วยมีความชันของพื้นที่เกินกว่าที่กฎกระทรวงหรือประกาศได้ตีกรอบเอาไว้
หรือไปปักหมุดอยู่ในที่ที่เป็นแหล่งน้ำของสัตว์ ซึ่งจะไปรบกวนระบบนิเวศและสัตว์ป่าในพื้นที่ รวมทั้ง(น่าจะ) มีการปักเขตรุกล้ำเข้าไปในเขตอุทยานหลายที่
เจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายได้รับคำสั่งจากเจ้ากระทรวงทั้งสองแห่งให้ไปหาข้อตกลงที่สรุปอย่างไม่ผิดกฎหมายมาให้ได้ในเร็ววัน ซึ่งก็ต้องย้อนกลับไปดูข้อ 2 ข้อ 3 ข้อ 4 และข้อ 5 ข้างต้นว่าข้อสรุปนั้นจะออกมาในรูปใดได้
5.แล้วโจทย์ที่แท้จริงคืออะไร
การที่จะหาทางแก้ปัญหาให้ได้จริงต้องตกลงกันให้ได้ก่อนว่าโจทย์ที่แท้จริงคืออะไร มิฉะนั้นก็จะได้คำตอบที่เอาไปทำอะไรไม่ได้ ถ้าถามประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศผมมั่นใจว่า เราจะได้คำตอบเกินร้อยละ 90 ว่าต้องการรักษาป่ามากกว่าให้บางคนเอาไปทำธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่เกษตรกรรมขนาดเล็ก ระดับที่ชาวบ้านสามารถทำได้ด้วยตัวเอง
สำหรับเหตุผลถ้าจะถาม ผมก็มั่นใจอีกว่าประชาชนจะตอบว่าเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อระบบนิเวศ เพื่อสัตว์ป่า เพื่อบ้านเมือง เพื่อประเทศ และเพื่อความเป็นธรรม
สมมุติว่าเราอยากจะตีโจทย์เพียงตามที่กำหนดเป็นตัวหนังสือในกฎหมายของกรมใครกรมมัน คือ จะตีความเพื่อประโยชน์ตามจุดประสงค์ในกฎหมายของตนเพียงอย่างเดียว การณ์นั้นย่อมทำได้ แต่นั่นย่อมก่อให้เกิดปัญหาตามนัยในข้อ 3 ข้างต้นตามมา และนั่นจึงไม่ใช่โจทย์และวิธีแก้ไขที่แท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ผมว่าโดยจิตสำนึกที่รักประเทศของทุกคน เขาทั้งหลายเหล่านั้นย่อมต้องการที่จะรักษาผืนป่าและระบบนิเวศเพื่อประโยชน์สูงสุดในระยะยาวให้แก่ประเทศมากกว่าเอาไปทำธุรกิจ
และนี่ก็คือโจทย์ที่แท้จริงของกรณีนี้ มิใช่เรื่องการปักหมุดปักเขตอย่างที่หลายฝ่ายกำลังเข้าใจคลาดเคลื่อน
6.แล้วทางแก้คืออะไร อย่างไร
ผมอยากจะขอให้พวกเราลืมเรื่องกฎหมายและอำนาจหน้าที่ของแต่ละกรมกองออกไปก่อน แล้วมาคุยกันให้สรุปให้ได้ว่าโจทย์ที่แท้จริงนั้นคืออะไร คือการที่ต้องรักษาป่าเอาไว้ให้ได้ ใช่หรือไม่ ถ้าใช่ วิธีคิดวิเคราะห์เพื่อตอบโจทย์นี้ก็จะตามมาเอง
หากต้องแก้กฎหมายเพื่อให้รักษาป่าไว้ให้ได้ก็ต้องแก้ กฎหมายเป็นแค่ตัวหนังสือที่มนุษย์เขียนขึ้น มันต้องแก้ได้ โดยเฉพาะหากกฎหมายที่มีอยู่เดิมเป็นอุปสรรคต่อการแก้โจทย์ที่แท้จริงนี้ เมื่อแก้ได้แล้วทุกคนก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะผิดกฎหมาย ถูกดำเนินคดี ถูกจำคุก ถูกไล่ออก หรืออะไรก็ตามที
ทว่าการแก้กฎหมายไทยนั้นบ่อยครั้งที่ใช้เวลานานเกินควร ดังนั้น ในช่วงแรกนี้จะแก้ปัญหากันอย่างไรดี คำตอบคือให้คณะรัฐมนตรีใช้อำนาจบริหารสั่งระงับกิจกรรมปักเขตในส่วนที่เป็นปัญหาทั้งหมดออกไปก่อนอย่างถาวรแบบชั่วคราว
ส่วนการที่หน่วยทหารลงพื้นที่ทำแผนที่กลางก็ให้ทำไป ทว่ายังไม่ต้องนำมาใช้ในขณะนี้ เพราะทหารก็เป็นอีกหน่วยราชการที่จะดูแต่เฉพาะกฎหมายที่ตัวเองถืออยู่ ไม่ได้ดูโจทย์ที่แท้จริงเพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่เขา
เมื่อทุกฝ่ายที่อาจรวมถึงนักวิชาการและภาคประชาสังคมได้คุยกันเสร็จและตกลงกันได้ สามารถแก้โจทย์ที่แท้จริงได้จริง เรื่องอื่นก็ง่ายแล้วที่จะดำเนินการต่อไปตามขั้นตอน
กุญแจสำคัญคือการตีโจทย์ที่แท้จริงของประเทศออกมาให้ได้เสียก่อน ดังที่ได้กล่าวไว้ย้ำแล้วย้ำอีกนั่นเอง.