บัญชีม้า ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ปัญหาอยู่ที่คนทำงาน

บัญชีม้า ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ปัญหาอยู่ที่คนทำงาน

แต่ละปีงบประมาณแผ่นดินถูกกำหนดให้กับหน่วยราชการทุกแห่ง มากมายกว่าสมัยผู้เขียนยังเยาว์วัยหลายเท่าตัว ปัญหาที่ต้องมาขบคิดกันเสมอคือ ความคุ้มค่า การรั่วไหลและปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวงในรูปแบบต่างๆ

ในวันนี้เรามีการเปิดบัญชีม้าในธุรกิจพนันออนไลน์ การหลอกลวงสารพัด ที่น่าตกใจอยู่ตรงที่คดีจำนวนมากมีผู้เกี่ยวข้องเป็นคนในกระบวนการยุติธรรม ที่กำลังทะเลาะเบาะแว้งสร้างความอับอายและบั่นทอนเกียรติศักดิ์ศรีองค์กรตนเองลงไปทุกวัน กระทั่งแทบไม่มีอะไรให้สรรเสริญเชิดชู

ขอเริ่มต้นกล่าวถึงสิ่งที่เป็นปัญหานี้ว่า ในแง่มุมของความสลับซับซ้อนกระทั่งมีนักวิชาการจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า องค์กรอาชญกรรม เป็นคำที่เหมาะสมจะกล่าวขวัญถึงบรรดาธุรกิจนอกกฎหมายเหล่านี้ โดยมีบุคคลที่ยอมขายบัญชีธนาคารที่อาจมีคนจ้างเปิดไว้เพื่อการรับโอนจ่ายเงิน

หรือกระทั่งรับจ้างให้ไปเปิดบัญชีเป็นร้อยบัญชี เพราะประเทศของเรายังไม่มีมาตรการที่รัดกุมในการควบคุมดูแลเรื่องเหล่านี้เพียงพอ ธนาคารเองอาจละเลยหวังได้ยอดลูกค้าโดยไม่ใส่ใจว่าแต่ละคนมีกันกี่บัญชีด้วยเหตุผลความจำเป็นประการใดแน่ชัด

ผมมีโอกาส “ล่อซื้อ” สินค้าจำพวกอาหารหมาแมวที่เพื่อนรักคนหนึ่งถูกหลอกต้มตุ๋นโอนเงินซื้อสินค้า แล้วปรากฏว่าเพจขายสินค้าออนไลน์ (เฟซบุ๊ก) นั้น กลับ "บล๊อกแอคเคานท์ของเพื่อน” ไม่สามารถติดต่อทางใดได้ นอกจากมาร้องทุกข์คร่ำครวญให้ผมฟังว่า เสียเงินทองไปหกเจ็ดพันบาทเพราะหลงเชื่อและอยากสนับสนุนคนทำมาหากินแต่มันแปลงร่างเป็น “มิจฉาชีพ”

 

 

ผมเองไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรแต่เห็นใจและอยากรู้ที่มาที่ไปของปัญหา เลยเข้าไปสอดแนม ถามไถ่วิธีการสั่งซื้อสินค้า วิธีการโอนเงิน โดยต้องการทราบเบอร์บัญชีของผู้ที่ประกอบธุรกิจฉ้อโกงประชาชนดังกล่าว

เริ่มต้นเข้าไปแสดงความสนใจซื้อข้าวของที่ร้านที่ฉ้อโกงเพื่อนผม เมื่อคุยให้มั่นใจว่ามาซื้อของไม่ได้มาจับผิดอะไร เขาให้โอนเงินตามเลขบัญชี สิ่งที่เหมือนกับเพื่อนของผมคือ เบอร์บัญชีเป็นของ “คนคนเดียวกัน” “ธนาคารเดียวกัน แต่หมายเลขบัญชีต่างกัน” นั่นหมายความว่า บุคคลผู้เป็นเจ้าของบัญชีนี้สามารถเปิดบัญชีธนาคารในระบบออนไลน์โดยไม่จำกัดจำนวน

เรื่องนี้ได้สอบถามผู้เผชิญชะตากรรมเดียวกับเพื่อนแล้วพบว่า มาในแนวทางเดียวกันหมดต่างเพียงเลขบัญชีเท่านั้น ทำให้มองได้ว่า

ธนาคารแห่งประเทศไทย อาจมีความหละหลวมในการปล่อยให้การเปิดบัญชีธนาคารออนไลน์ ทำได้ง่าย แม้จะเป็นการสนับสนุนการทำธุรกิจการค้า แต่กลายเป็นช่องทางทำมาหากินอันสะดวกโยธินให้กับขโมยขโจรและผู้ฉ้อโกงประชาชนตามที่ปรากฏเป็นข่าว

เรื่องทั้งหมดน่าจะจบลงหากเจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนสามารถช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้ประชาชนได้อย่างที่ใจปรารถนา แต่เมื่อเพื่อนรักไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจแถวบ้าน ปรากฏว่าได้พบเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงซึ่งทำหน้าที่รับแจ้งความ แต่อัตตาเธออาจสูงลิบลิ่ว มั่นใจในทักษะความชำนาญของตนเอง กระทั่งการไปแจ้งความร้องทุกข์ของเพื่อนกลายเป็นการเผชิญหน้ากับความยากลำบากอีกด่านในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม

เพื่อนรักของผมพยายามอธิบายและแจ้งความประสงค์กับเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวให้ทราบที่มาที่ไปและวัตถุประสงค์ของการเดินทางมาแจ้งความว่าเป็นไปเพื่ออะไร ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับให้โทรแจ้งฮอทไลน์ สายด่วน 1441 ซึ่งเพื่อนก็ได้กระทำตาม แต่คำแนะนำของปลายสาย กลายเป็นว่าให้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เลย

เพื่อนเลยถกแถลงแสดงความจำนงกับเจ้าหน้าที่ คุณตำรวจหญิงก็ยังยืนยันว่าคดีฉ้อโกงประชาชนอยู่ในหมวดเดียวกับคดีฉ้อโกง ในความหมายของเธอคือ “แจ้งความไม่ได้เพราะขาดอายุความ” 

คุณน้องตำรวจหญิงอาจไม่ทราบว่าบางทีคนจะไปแจ้งความแต่ละคนอาจต้องทำการบ้านมาบ้าง และมุ่งมั่นอยากได้ตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ แม้จะยอมเสียเวลาเสียเงินค่าเดินทางค่าน้ำมันกันอาจจะมากกว่ามูลค่าความเสียหายก็ตาม เพื่อนผมพอมีความรอบรู้ทางกฎหมายจึงสวนไปแบบไม่ยอมถอยง่ายๆ ว่า “ยังไม่หมดอายุความและต้องการแจ้งความร้องทุกข์”

ซึ่งในวันนั้นทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เพราะน้องตำรวจหญิงที่ว่าไว้เชิงเหลือหลาย กลับบอกว่าให้มาใหม่ในวันจันทร์เวลาราชการเพราะคนที่รับแจ้งความเป็นตำรวจอีกคนที่เข้าเวรในวันเวลาราชการ เรื่องนี้ผมเองไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย ฟังแล้วก็รู้สึกขัดเคืองเพราะ

หน้าที่ของพนักงานสอบสวนและตำรวจโดยปกติต้องปฎิบัติหน้าที่ได้ 24 ชั่วโมง เคยเห็นไหมว่าศาลเองยังต้องมีผู้พิพากษาอยู่เวรเปลี่ยนเวรกันไปมา อาจต้องเอาหมายหาท่านที่บ้านก็ต้องทำ เพราะ “อายุความทางอาญา” มันขยายไม่ได้และไม่รีรออะไรทั้งสิ้น หากอายุความหมดตรงเสาร์อาทิตย์ แต่น้องจะให้มาวันจันทร์ มันจะเสียของนะอย่างนี้

อยากจะย้ำให้เข้าใจตรงกันอีกครั้งในฐานะครูบาอาจารย์สอนกฎหมาย เหมือนหลายคนที่อ้างว่ารอบรู้กฎหมายเชี่ยวชาญอวตารกันมา โดยเฉพาะในคดีฉ้อโกงประชาชนที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและเป็นคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในหลายคดี เป็นคดีที่อยู่ในหมวดเดียวกับคดีฉ้อโกงอันเป็นความผิดต่อทรัพย์

“ในคดีความผิดฐานฉ้อโกง เป็นความผิดอันยอมความได้ ถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทําความผิดเป็นอันขาดอายุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบ มาตรา  96

ส่วนความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมาย อาญา ม 343 นั้น ถือเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ ตาม ม 348 ซึ่งไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องร้องทุกข์ภายใน 3 เดือนดังเช่นกรณีฉ้อโกงตามปกติทั่วไป"

 เพื่อนรักของผมยังยืนยันกับตำรวจหญิงคนดังกล่าวอีกครั้งว่า คดีนี้เป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตาม ม 343  ยังสามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้  แต่นายตำรวจหญิงยังคงมั่นใจในความเห็นของเธอว่า “ความผิดฐานฉ้อโกง และ การฉ้อโกงประชาชน อยู่ในหมวดเดียวกัน เมื่อเลยกำหนดสามเดือนแล้วแจ้งความร้องทุกข์ไม่ได้”  

ด้วยความสงสัยว่ามีระเบียบหรือหลักเกณฑ์ให้ตำรวจกระทำการดังกล่าวได้หรือไม่ เพื่อนเลยบอกเธอไปว่าขอตรวจสอบข้อมูลก่อน คุณตำรวจหญิงกลับประชดพูดสวนดังๆ แบบทวนวาจาของเพื่อนว่า “ขอตรวจสอบข้อมูลก่อน” คล้ายๆ ว่า ฉันบอกเธอแล้วไม่เชื่อเหรอ แต่เพื่อนไม่ว่ากระไร แจ้งกลับไปว่า หากเป็นฉ้อโกงประชาชนยังแจ้งความร้องทุกข์ได้

ต่อมาตำรวจอีกนายได้ชี้เจงกับเพื่อนว่า คนทำคดีไม่ได้เข้าเวร แต่จะมาปฎิบัติหน้าที่ในวันเวลาราชการเท่านั้น จึงไม่มีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงที่จะรับแจ้งความได้

แต่ผมในฐานะนักอาชญาวิทยาเห็นว่าตำรวจสมควรจะต้องรับแจ้งความ การแบ่งงานภายในเป็นเรื่องความรับผิดชอบขององค์กร ไม่อาจนำมาปฎิเสธการรับแจ้งความจากประชาชนได้ เพราะ “อายุความทางอาญา” ไม่ได้หยุดยั้งตามเวลาราชการ จึงต้องมีพนักงานรับแจ้งความอยู่พร้อมเสมอ

สิ่งที่นำเสนอมานี้ ไม่ได้ต้องการทำลายล้างโจมตีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดให้เสียหาย แต่วันนี้มีคนชอบอ้างความรอบรู้ของตนเองมาสาธยายให้คนอื่นคล้อยเห็นตามแบบมีนัยสำคัญ จะด้วยต้องการช่วยเหลือสนับสนุนฝ่ายใดก็ตาม แต่สิ่งที่เป็นหลักการอันชอบด้วยกฎหมายไม่อาจนำสิ่งใดมาขีดเขียนหรือหักล้างกันได้ด้วยความเชื่อ

วันนี้หลายคดีที่กำลังถกเถียงกัน ทุกฝ่ายล้วนมีปัญหาพัวพันกับ “บัญชีม้า” แน่นอนว่า ผู้เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาต้องเข้ามาดูแล จัดการกับความหละหลวมที่ได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกัน ในแวดวงสังคมผู้ดูแลกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายต้องอย่าถือตนหรือ “อวดดี” กระทั่งไม่ทำการทำงาน

และควรให้มิตรจิตมิตรใจกับประชาชนผู้มารับบริการอย่างน้อยให้เขาเดินทางกลับบ้านด้วยความอบอุ่นและความรู้สึกที่ดี อย่าให้เขาต้องเหมือนถูกข่มเหงรังแกจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อีกเลย มันน่าหดหู่และน่าสะเทือนใจเมื่อมีคนมาเล่าความจริงให้ฟังแบบนี้.